ในที่สุด “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ตัดสินใจรับตำแหน่ง “หัวน้าพรรคเพื่อไทย” (พท.) เพื่อโชว์ให้เห็นถึงความพร้อม ในการรับบท “แม่ทัพ” นำพา พรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำรัฐบาล ขับเคลื่อนทางการเมือง เพื่อเตรียมสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะเป็นช่วงวลาไหน แต่ถ้าเปรียบการเลือกตั้งเหมือนการทำศึก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะครั้ง จึงต้องจัดวางแผนเตรียมการไว้ก่อน
ก่อนหน้ามีข่าวว่า ในการประชุมวิสามัญพรรคเพื่อไทยวันที่ 27 ต.ค. เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ แทนที่ชุดเดิมที่ลาออกไป และมีสส.จำนวนมาก สนับสนุนให้ “แพทองธาร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อนำพรรคอย่างเต็มตัว ไม่ใช่แค่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีความพร้อม เป็นศูนย์กลางของคนทั้งพรรค
ประกอบกับเป็นคนรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาปรับให้พรรคให้ทันยุคสมัย ที่คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองมากยิ่งขึ้น ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “แพทองธาร” จะรับหน้าที่หัวหน้าพรรคด้วยตนเอง ขณะที่กก.บห.ชุดใหม่ที่จะเข้ามาช่วยงาน “แพทองธาร” ก็จะเป็นคนรุ่นใหม่เช่นเดียวกัน เพราะพรรค พท.ต้องการปรับตัวครั้งใหญ่ ให้เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่อย่างเต็มตัว เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งให้พรรค พท. กลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งอีกครั้ง
อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ค.66 ถือเป็นครั้งแรกที่พรรค พท. ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ได้ สส. เพียง 141 ที่นั่ง จากเดิมตั้งเป้าจะแลนด์สไลด์ ขณะที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้สส. 151 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ ยิ่งไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ต้องมาทำหน้าที่แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรค พท. ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ทำงานไม่เข้าตาประชาชน หลายคนเชื่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกล กวาดชัยชนะถล่มทะลายแน่ๆ เพราะคนสะสมความไม่พอใจ นับตั้งแต่ “ก.ก.” ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ทั้งๆ ที่คว้าจำนวน สส. มากที่สุด
จึงไม่ใช้เรื่องแปลก ถ้า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ซึ่งมีส่วนสำคัญกับการผลักดันให้เกิด พรรคพลังประชาชน (พปช.) จนมาถึง พรรคเพื่อไทย (พท.) คงยอมไม่ได้ เมื่อเห็นพรรคที่สร้างมากับมือ ต้องประสบความแพ้ในการเลือกตั้ง หลังจากที่ผ่านมาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งมาโดยตลอด สามารถผลักดัน “สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จนกระทั่งมาถึง “เศรษฐา ทวีสิน” ได้ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” และถ้าอยากสนับสนุนบุตรสาวคนเล็ก “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ให้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำประเทศ” คงไม่ใช้เรื่องยาก
อีกทั้งใน ปีหน้า “ทักษิณ” ก็จะพ้นโทษ เท่ากับ ปลดเปลื้องพันธนาการ แม้จะไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองได้ แต่ก็สามารถเป็น “ที่ปรึกษา” คอยกำหนดการเดินเกมให้ “บุตรสาว” และ พรรค พท. อย่างเต็มที่
ถ้ายังจำกัน ได้ก่อนการจัดตั้งรัฐบาล ก็เคยมีข่าว อดีตหน้าพรรค ทรท. ต้องการส่ง “เศรษฐา” ไปอยู่ทำเนียบรัฐบาล และส่ง “แพทองธาร” ไปคุมพรรค พท. ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ซึ่ง “ทักษิณ” มั่นใจว่า บุตรสาวคนเล็ก ซึ่งชื่นชอบกับบทบาท “นักการเมือง” นับจากนี้ไปอีก 4 ปี คงมีความแข็งแกร่ง มีความต้านทาน สามารถรับแรงปะทะทางการเมือง เหนือกว่านั้น คงมีความพร้อมกับการรับตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นทายาททางการเมืองของตนเองโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนมิ.ย.66 ในระหว่างพรรค พท. ยังจับมือกับ พรรค ก.ก. เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เคยมีรายงานว่า “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” ได้นัดรับประทานอาหารกับ “คนในครอบครัว” ประกอบด้วย “พิณทองทา คุณากรวงศ์” พร้อมสามี “แพทองธาร ชินวัตร” พร้อมสามี ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
โดยคนในครอบชินวัตร ได้พูดคุยและไม่เห็นด้วยที่จะให้ “แพทองธาร” เป็นนายกฯในขณะนี้ เนื่องจากยังไม่พร้อม อยากให้รออีก 5 ปี และไม่ใช่เรื่องง่ายกับสถานการณ์เมืองในปัจจุบัน เพราะอายุแค่เพียง 37 ปี อีกทั้งยังมีแคนดิเดตนายกฯคนอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น “เศรษฐา ทวีสิน” ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องทางเศรษฐกิจ และอยากให้เศรษฐกิจของประเทศกระเตื้องขึ้นด้วย รวมถึง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค ก.ก.(ในเวลานั้น)
“อิ๊งค์ ยังอายุน้อย ประสบการณ์ก็น้อย แต่การที่เข้ามาทำงานการเมือง ก็เพื่ออยากทำให้พรรค พท.เข้มแข็ง ส่วนทิศทางการเมืองของ อิ๊งค์ ให้เป็นไปตามสเตป ขณะเดียวกันตัวอิ๊งค์เอง ก็บอกกับพ่อว่า เที่ยวบินตัวเองยังไม่ได้ ซึ่งพ่อเขาก็เข้าใจ” แหล่งข่าวระบุ
ขณะที่ “แพทองธาร” แคนดิเดตนายกฯพรรคพท. ให้สัมภาษณ์กระแสข่าวครอบครัวออกมาเบรกไม่อยากให้ดำรงตำแหน่งนายกฯว่า จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ทางครอบครัวเบรก เป็นเรื่องที่คุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) พูดคุยกับลูกสาวคนเล็ก ที่ในใจท่านก็มีความภูมิใจลูกสาวคนเล็กที่มายืนจุดนี้ แต่ลึกๆ ท่านก็ยังเห็นตนเป็นเด็ก แต่ในชีวิตจริงตนก็รู้ว่าตนเองไม่ใช่เด็ก
“การที่คุณแม่เป็นห่วง ก็ไม่รู้สึกโกรธอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะเรารู้ว่าเราไม่ใช่เด็ก รู้สึกว่าเขาเป็นห่วง ทั้งตอนที่ท้องแล้วไปหาเสียง ท่านก็เป็นห่วงมาก ก็ต้องคอยพูดตลอดว่า ยังโอเค หาหมอแล้ว ก็จะบอกแม่อยู่ทุกครั้ง เป็นแค่ความเป็นห่วงเท่านั้นไม่มีมิติอื่นจริงๆ” แพทองธาร กล่าวและว่า “หากพรรค พท.ได้เป็นอันดับ 1 แม่ก็คงคิดถึงตอนนั้นว่า ยังจะเป็นแบบนี้อยู่หรือไม่ว่า ถ้าพรรคพท.เป็นอันดับหนึ่งจริงก็ต้องได้เป็นนายกฯหรือไม่ เราจะคุยอย่างไรกันในพรรค แม่ก็เป็นห่วงตรงนี้เสมอ ดิฉันพูดด้วยความสัตย์จริงว่า มันเป็นแค่นั้นเองในมุมของแม่”
แต่มาถึงวันนี้ บุพการีของ “อุ๊งอิ๊ง” คงเห็นว่า บุตรสาวมีความพร้อม กับการถือธงนำพรรค พท. เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการ ชูภาพคนรุ่นใหม่ เพื่อดึงคะแนนเสียง รวมถึงโหวตเตอร์จากคนหนุ่มคนสาว ซึ่งต้องแย่งคะแนนเสียงจากพรรค ก.ก. ซึ่งถ้า “พิธา” ไม่ประสบปัญหาหรือเผชิญอุบัติเหตุทางการเมือง บุคคลทั้งสองคงต้องแย่งชิงเก้าอี้นายกฯ เพราะมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน พท. เป็นแกนนำรัฐบาล ส่วน ก.ก.เป็นแกนนำฝ่ายค้าน
สิ่งสำคัญที่ทั้ง “ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ไฟเขียวให้ “อุ๊งอิ๊ง” กระโดดเข้ามารับบท “แม่ทัพพรรค พท.” เต็มตัว คงเห็นความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรค พท.เป็นแกนนำ แม้จะถูกวิจารณ์ว่า หักหลังพรรค ก.ก. เพราะเลือกจัดตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว” ซึ่งมีทั้ง พลังประชารัฐ (พชปร.) และ รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งทางการเมืองกันมาก่อน แต่ก็คุ้มค่า เพราะได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาฯ (สว.) ท่วมท้น จน “เศรษฐา” ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ
ท่ามกลางกระแสข่าว มี “ดีลลับ” เกิดขึ้น โดยหวังให้ “พรรค พท.” เป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพื่อต่อสู้กับ “พรรค ก.ก.” ที่สนับสนุนแนวทางการปฏิรูปสถาบัน และการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ผู้มากบารมีที่มีอำนาจในพรรคพท. จึงเชื่อว่า “อิ๊งค์” จะไม่เผชิญปัญหา ต้องเจอแรงต่อต้านจาก “มือที่มองไม่เห็น” เหมือนในอดีต จนต้องหมดอนาคตทางการเมือง
ขณะที่ “เศรษฐา” ได้แต่งตั้ง “แพทองธาร” เป็น รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเชื่อจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของว่าที่หัวหน้าพรรค พท. โดย “น.สพ.ชัย วัชรงค์” โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ ซึ่งรัฐบาลที่นำโดยพรรคพท. ได้ประกาศเมื่อตอนหาเสียงไว้ว่าซอฟต์เพาเวอร์เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยได้เล็งดำเนินการโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์เพาเวอร์
ซึ่งเราได้ปูเรื่องรายได้ว่ารายได้ขั้นต่ำของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นจำนวนเงิน 2 หมื่นบาทต่อเดือน และการสร้างตำแหน่งงานของแรงงานทักษะสูง 20 ล้านตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นนายกฯจึงได้สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์เพาเวอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมีนายกฯนั่งเป็นประธาน น.ส.แพทองธาร เป็นรองประธาน นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษา และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการ ทั้งนี้ผู้ที่จะดำเนินการประสานงานคือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ
จากนั้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย. “แพทองธาร” ได้โพต์สเฟสบุ๊ก Ing Shinawatra ระบุว่า ‘OFOS – THACCA’ เตรียมพร้อมวิ่งแล้วค่ะ เมื่อวานนี้ กรรมการในส่วนภาคเอกชนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้ประชุมกันนอกรอบเพื่อสรุปข้อเสนอซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่างๆ ที่ TCDC ไปรษณีย์กลาง เป็นการเตรียมพร้อมก่อนการประชุมคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลกับท่านนายกฯ ในวันที่ 3 ตุลาคมนี้
บรรยากาศการประชุมสนุกมากค่ะ ไอเดียข้อเสนอต่าง ๆ มาแบบจัดเต็ม ในฐานะรองประธานกรรมการ อิ๊งค์ก็อดรู้สึกตื่นเต้นและมีความหวังไม่ได้ ถ้าเราร่วมกันอย่างเต็มที่ขนาดนี้ เป้าหมายของ OFOS – THACCA ที่จะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะระดับสูง ให้กับพี่น้องประชาชน 20 ล้านคน ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่างๆ ให้ไปไกลถึงระดับโลก น่าจะทำได้ไม่ยากด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายค่ะ
จากนี้ไปคงได้เห็นบทบาท “แพทองธาร” มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผ่านทางการเป็นผู้นำพรรค พท.และสร้างผลงานด้านบริหาร ผ่านรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ เป้าหมายคงหวังทวงบัลลังค์ แชมป์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อนำไปสู่ “พรรค พท.” การเป็นแกนนำรัฐบาล โดย “อุ๊งอิ๊ง” จะได้มีโอกาสก้าวเป็น “นายกฯหญิงคนที่สองของประเทศไทย”
…………………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย..“แมวสีขาว”