ไม่มีกี่วันที่ผ่านมา “เจ้าคุณหรรรษา” หรือ พระเมธีวัชรบัณฑิต ท่านถือว่าเป็นพระนักวิชาการ “หัวก้าวหน้า” มีตำแหน่งทางวิชาการถึง “ศาสตราจารย์” มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแวดวงสายตุลาการ สายสถาบันพระปกเกล้าและสาย ป.ป.ช. ตำแหน่งทางวิชาการระดับศาสตราจารย์นี้ ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง มีเพียงแค่ 4-5 รูปเท่านั้น และที่สำคัญ “เจ้าคุณหรรษา” มิใช่พระสายการเมืองหรือสายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“เจ้าคุณหรรษา” ส่งสัญญาณถึงรัฐบาล โดยเฉพาะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พรรคเพื่อไทย ทำนองว่า ตอนพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน อภิปรายเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายความไม่ชอบมาพากลของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 โดยเฉพาะมาตรา 29 หลายรอบ เกี่ยวกับการจับกุมพระภิกษุ
แต่ไฉน! เมื่อมาเป็นแกนนำรัฐบาลและมีรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องกิจการพระพุทธศาสนา ดูแลคณะสงฆ์ มาจากพรรคเพื่อไทย กลับ “เงียบฉี่” ช่วยบอกหน่อยได้ไหมจะเอาอย่างไรต่อ
เรื่องแบบนี้รัฐบาล รัฐมนตรีที่ดูแลคณะสงฆ์ ต้องมี “คำตอบ”
“เปรียญสิบ” เห็นด้วยกับ “ท่านเจ้าคุณ” พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 หมวด 4 ว่าด้วยนิคหกรรมและการสละสมณเพศต้องทบทวน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยเฉพาะมาตรา 29 และ 30 กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเผด็จการและอีกหลายมาตราที่เกิดขึ้นในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มันต้องมากางดู แน่นอนเรื่องนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมจำพวก “หัวอนุรักษ์” ค้านหัวชนฝา เพราะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ปัจจุบันให้อำนาจมหาเถรสมาคมเต็มที่.. อำนาจ พ.ร.บ.สงฆ์ยุคนี้ บางทีมหาเถรสมาคมก็ “งง” อยู่ว่า “กูจะฟังใครดี”
“เปรียญสิบ” ชื่นชม สส.มุสลิม จากพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา เข้าไปอยู่สภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงสัปดาห์ ยื่นกฎหมายขอตั้ง “สำนักงานกิจการฮัจญ์” ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่เป็นศูนย์ราชการ ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยมีเลขาธิการเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด โดยที่จะมีการยกเลิกพ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจญ์ปี 2524, 2532 และ 2559 ดูแล้วน่าจะยิ่งใหญ่กว่า “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” สำนักงานกิจการฮัจญ์ตั้งขึ้นเพื่อดูแล “พี่น้องมุสลิม” พร้อมทั้งมียื่นพ.ร.บ.สันติภาพอีกฉบับหนึ่ง ทั้งสองฉบับก็เพื่อคุ้มครองพี่น้องชาวมุสลิม และสร้างหลักประกันในชีวิตของพี่น้องมุสลิมครอบคลุมทุกมิติโดยเฉพาะ
ที่ต้องชื่นชมเพราะพี่น้องมุสลิม “ฉลาดเลือก” นักการเมือง พรรคการเมือง ที่ใส่ใจและดูแล สิทธิและผลประโยชน์ของพี่น้องมุสลิม
หาก “เปรียญสิบ” เป็นคนมุสลิม พรรคการเมืองแบบนี้คือ ที่พึ่งของพี่น้องมุสลิมโดยแท้ พรรคส่งใครลงเขตไหนมีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน ตายไปก็สั่งเสียเอาไว้…ต้องเลือกพรรคแบบนี้ นักการเมืองที่มีจุดยืน ตอนฝ่ายค้านคิดอย่างไรไว้ ตอนเป็นรัฐบาล ต้องรีบลงมือทำทันที
ความจริง ตอนที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ขยันมาก พูดมากรับปากไว้กับชาวพุทธหลายเรื่อง ส่ง ดร.นิยม เวชกามา บ้าง ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล บ้าง หรือแม้กระทั้ง ดร.ไชยา พรหมมา บ้าง ว่าจะดันกฎหมายโน้นนี้นั่น ทั้ง พ.ร.บ.ธนาคารพุทธ, พ.ร.บ.สภาชาวพุทธ, พ.ร.บ.คุ้มครองและปกป้องพระพุทธศาสนา และรวมทั้ง พ.ร.บ.สังเวชนียสถาน ตอนนั้นชาวพุทธประเภท “หัวอ่อน” แบบ “เปรียญสิบ” เชื่อสนิทใจว่า พรรคเพื่อไทยคือความหวังที่แท้จริงของชาวพุทธ ซ้ำดันไปมีส่วนร่วมร่างพ.ร.บ.กับคณะนี้บางฉบับด้วย!!
ทุกวันนี้ไม่รู้ว่า ร่างพ.ร.บ.เหล่านี้ไปอยู่ใน “ลิ้นชักใคร” หรือ กองอยู่ที่ห้องไหน หรือ เป็นเศษไปแล้ว
อันนี้พูดด้วยความเป็น “กัลยาณมิตร” พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่พระสงฆ์และชาวพุทธส่วนใหญ่ไว้วางใจที่สุด แต่ตลอด 2 เดือนมานี้ “คณะสงฆ์” และ “ชาวพุทธ” ต้องถามเหมือนที่ “เจ้าคุณหรรษา” ถามถึงบ้าง
เพราะนโยบายที่ออกจากพรรคหรือรัฐบาลที่เป็นเชิงโครงสร้างเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อคณะสงฆ์ ยังไม่มีอะไรใหม่ โดยเฉพาะความคืบหน้าทั้งการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 หรือ และร่างพ.ร.บ.ที่ว่ามาข้างต้น
อย่าว่าแต่พระสงฆ์อย่าง “เจ้าคุณหรรษา” อึดอัดและทวงถามด้วยความ “หาญกล้า” ในฐานะตัวแทนคณะสงฆ์ เลย แม้แต่!!องค์กรพุทธ ชาวพุทธ หลายคนตอนนี้หลายคนเริ่ม “อึดอัด” อันนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” จะตั้ง “กรมฮาลาล” อันนั้นอย่าว่าชาวพุทธทั่วไปเลย แม้แต่..
“เจ้าคุณประสาร” เลขาศูนย์พิทักษ์ฯ ครอบครัวเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยก็ ฮึ่มใส่!!
“คณะสงฆ์” เราเองก็ต้อง “สามัคคี” กันให้มากกว่านี้ ยุคนี้แม้แต่ “พระสมเด็จ” อย่าคิดว่าจะสั่ง “นักการเมือง” ได้ ต่อหน้ารัฐมนตรี นักการเมือง อาจรับปากว่า “ได้ครับ-ได้คะ” พวกพระคุณเจ้า “ไม่อยู่ในสายตา” นักการเมืองหรอก..
เหตุผลง่ายๆ เพราะ หนึ่ง พระสงฆ์เลือกตั้งไม่ได้ สอง ไม่ใช่นายทุนพรรค และ สาม ไม่มีมวลชนฐานคะแนนเสียง ทุกวันนี้ “นักการเมือง” บางคนเข้าหาพระคุณเจ้า เพียงเพราะ “สะเดาะเคราะห์” และ “สร้างภาพลักษณ์” ที่ดีให้ตนเองในสายตาประชาชนเท่านั้น
พระสงฆ์และชาวพุทธ ต้องมีความหาญกล้าทวงถามแบบที่ “เจ้าคุณหรรษา” ทวงถาม เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมืองของประเทศที่เรามีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน
ยุคนี้หมดยุค “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” แล้ว “กินบุญเก่า” นั่งๆ นอน ๆ สิทธิอันพึงมี พึงได้ มันจะลอยมาดังนภากาศเหมืององค์กฐิน..ไม่มีแล้ว!!
……………….
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]