ผ่านไปแล้วกับการรับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.400 เขตทั่วประเทศ ที่รับสมัครกันวันแรก 27 ธ.ค.โดยจะสิ้นสุดในวันสิ้นปี 31 ธ.ค.2568
สำหรับ กรุงเทพมหานคร ที่เป็นเมืองหลวงประเทศไทย และมี สส.เขตมากที่สุดคือ 33 เก้าอี้ มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากสุด ที่จะมีผลต่อ คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ของทุกพรรคการเมือง ทำให้ สนามเลือกตั้ง กทม.คือ “หมุดหมายสำคัญ” ที่ “พรรคใหญ่-พรรคกลาง-พรรคเก่า-พรรคใหม่” ต่างก็ต้องการเข้าไปปักธง สส.เขต หรือแชร์คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้ได้
ที่ผ่านมา นับแต่มีการใช้ระบบการเลือกตั้งสองแบบคือ สส.เขต และ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก่อนจะถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 จะมีแค่ 2 พรรคเท่านั้น ที่สู้กันดุเดือดใน กทม.คือ “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคไทยรักไทย” และต่อมาเป็น “พรรคพลังประชาชน-พรรคเพื่อไทย”
จนเมื่อเกิด “พรรคส้ม-พรรคอนาคตใหม่” ขึ้นมาในตอนเลือกตั้งปี 2562 ก็เริ่มเข้ามาแชร์เก้าอี้ สส.เขต และสส.ปาร์ตี้ลิสต์ แต่มาพีกสุด ตอนเลือกตั้งปี 2566 สมัยเป็น “พรรคก้าวไกล” ที่กวาดไปถึง 32 เขต จาก 33 เขต เหลือให้แค่ “พรรคเพื่อไทย” 1 เก้าอี้
ขณะที่ “พรรคสีฟ้า-พรรคประชาธิปัตย์” สูญพันธ์ ไม่ได้ สส.เขต กทม.แม้แต่คนเดียวมา 2 ครั้งติดต่อกันคือ การเลือกตั้งปี 2562 กับ 2566 และรอบนี้ “พรรคส้ม” ที่กลายมาเป็น “พรรคประชาชน” ก็ประกาศแล้วว่า จะขอกวาดหมด 33 เขต เพื่อให้ได้ กทม. 33 ที่นั่ง เพื่อกรุยทางไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ !

ขณะที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็มั่นใจว่า กลับมารอบนี้ พรรคจะไม่สูญพันธุ์ใน กทม. 3 สมัยติดต่อกัน มีโอกาสลุ้นที่ ปชป.จะสอดแทรก แย่งเก้าอี้ สส.เขตบางพื้นที่กลับคืนมาได้ เช่นเดียวกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่กำลังได้ใจ เชื่อว่า กระแสตอบรับ “ยศชนัน วงษ์สวัสดิ์” แคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย กำลังดีวันดีคืน จึงน่าจะทำให้ ผู้สมัครสส.เขต กทม.บางเขต มีลุ้นทวงคืนมาจากพรรคส้มได้

ส่วน “พรรคภูมิใจไทย-พรรคสีน้ำเงิน” ที่ส่งคนลง สส.เขตมาแล้ว 3 ครั้ง คือปี 2554, 2562 และ 2566 แต่ไม่เคยได้ สส.เขตใน กทม.แม้แต่คนเดียว แถมคะแนนก็ต่ำมาก บางเขตได้แค่ 2 พันถึง 3 พันคะแนน ทั้งที่เป็นพรรครัฐบาลตอนเลือกตั้ง ส่วนคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ใน กทม.อย่างปี 2566 ก็ได้แค่ 2 หมื่นกว่าคะแนน มารอบนี้ถือว่า มีความพร้อมพอสมควร เพราะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และกระแสตัว “หัวหน้าพรรค-อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯ ในกทม.ก็ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จึงทำให้ “ภูมิใจไทย” ตั้งเป้าว่า รอบนี้น่าจะพอมีสอดแทรก สส.เขตเข้าไปได้บ้าง สัก 2-3 เขต ที่หากทำได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

และยังมี พรรคอื่น ๆ ก็ส่งคนลงมาสร้างสีสันเช่นกัน อาทิ พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” – พรรคไทยสร้างไทย ของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” – พรรคไทยก้าวใหม่ ของ “ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” – พรรคพลังประชารัฐ ที่นำทีมโดย “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” และ “ผู้กองมาร์ค-ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์” รวมถึงพรรคตั้งใหม่อย่าง พรรคพลวัต ที่มี “กัณวีร์ สืบแสง” เป็นหัวหน้าพรรค และ พรรครักชาติ ที่มี “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” อดีตรมว.ดีอีเอ เป็นหัวหน้าพรรค – พรรคเศรษฐกิจ ของ “พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์”

อย่างไรก็ตาม พรรคในกลุ่มหลัง ดูแล้วการหวังจะชนะในระบบเขต น่าจะเบียดสู้ พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาธิปัตย์-พรรคภูมิใจไทย ได้ค่อนข้างยาก แต่เป้าหมายหลัก น่าจะหวังผลในเรื่องคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์จากคนกรุงเทพฯมากกว่า ทั้งหมดทำให้สนามเลือกตั้ง สส.เขต กทม.ครั้งนี้มีสีสันอย่างมาก ทำให้ถนนทุกจุดใน กทม.จะเต็มไปด้วยป้ายหาเสียงจำนวนมาก จากหลายพรรคการเมือง
โดยหลายพรรคการเมือง ก็จะมีนโยบายแยกเฉพาะ สำหรับหาเสียงกับคนกรุงเทพฯเช่นกัน อาทิ รถไฟฟ้ายี่สิบบาทตลอดสาย ของเพื่อไทย ส่วนภูมิใจไทย ก็ชูว่า หากภูมิใจไทยได้เข้าไปเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง คนละครึ่งพลัสเฟสสอง กลับมาแน่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯจำนวนมากต้องการ แต่คนไทยทั่วประเทศ ก็หวังไว้เช่นกัน เป็นต้น

จากประเมินจากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่คนกรุงเทพฯ เทคะแนนให้ “พรรคส้ม-พรรคก้าวไกล” อย่างถล่มทลาย ได้ไปหนึ่งล้านกว่าคะแนนและสส.เขตอีก 32 คน ทำให้รอบนี้ “พรรคประชาชน” ถูกมองว่า กระแสไม่พีกเหมือนตอนปี 2566 ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค-แคนดิเดตนายกฯ แต่วัดกันตอนนี้ ก็ยังคาดการณ์ไว้ว่า ยังไง “พรรคประชาชน” ก็ยังน่าจะกวาด สส.เขต กทม.มากที่สุด และยังน่าจะได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาอันดับหนึ่ง หากไม่มีอะไรเป็นจุดพลิกในช่วงโค้งสุดท้ายการหาเสียง
ส่วนพรรคที่จะได้ ปาร์ตี้ลิสต์มาอันดับ 2 ก็ต้องมาลุ้นกันว่า จะเป็นพรรคไหน หลังพรรคที่ได้อันดับ 2 ตอนปี 2566 คือ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ได้ไปถึง 6 แสนกว่าคะแนน แต่คงไม่สามารถกลับไปทำได้อีกแล้ว เพราะไม่มี “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ประกอบกับกระแสพรรครวมไทยสร้างชาติ ตกต่ำอย่างหนัก ที่ก็คาดว่า คนกรุงเทพฯ 6 แสนกว่าคะแนนที่เคยเลือกรวมไทยสร้างชาติ ส่วนหนึ่งก็น่าจะไปเลือก “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” แทน รวมถึงแตกไปยังพรรคอื่น ๆ เช่น พรรคเศรษฐกิจของพลเอกรังษี เป็นต้น และคาดว่าจะมีโนโหวต ไปใช้สิทธิ์แต่ไม่เลือกพรรคการเมืองใดเลย ระดับหนึ่งในสนาม กทม.
ซึ่งสนาม กทม.อย่างที่รู้กันเป็นสนามเลือกตั้งที่ปัจจัยเรื่อง กระแส มีผลต่อการตัดสินใจของคนกรุงเทพฯอย่างมาก โดยเฉพาะพวก “สวิงโหวต” ที่ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ พรรคใดพรรคหนึ่งและไม่ได้เป็นพวกอยู่ขั้วการเมืองใดขั้วการเมืองหนึ่งแบบสุดขั้ว คนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็จะลงคะแนนจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความชอบในนโยบายพรรค แคนดิเดตนายกฯของพรรค เป็นต้น
ทำให้ “สนาม กทม.” แม้ตอนนี้ “พรรคส้ม” ยังเป็นตัวเต็งในสนามเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะมาอันดับ 1 ทั้งสส.เขตและคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แต่ “แกนนำพรรคประชาชน” ก็รู้ตัวดีว่า ของแบบนี้…ก็ต้องทุ่มสุดตัว ประมาทไม่ได้!!!
……………
คอลัมน์….“ส่องป้อมค่ายการเมือง”
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”



















