เส้นทางของ “พี่น้อง 3 ป.” ถึงตอนนี้ ต้องบอกว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รุ่งโรจน์ที่สุดแล้ว เพราะผ่านตำแหน่งหลักของประเทศมาทุกตำแหน่ง ทั้ง ผู้บัญชาการทหารบก-นายกรัฐมนตรี-รมว.กลาโหม-อดีตผู้นำคณะรัฐประหาร หัวหน้าคสช. และล่าสุด กับตำแหน่งสำคัญที่เป็นมงคลชีวิตของพล.อ.ประยุทธ์และครอบครัว “จันทร์โอชา”
นั่นก็คือการที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น “องคมนตรี” เมื่อค่ำวันพุธที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา
เรียกได้ว่า ทำเอา เอฟซี-กองเชียร์-แฟนคลับ “ลุงตู่” ปลาบปลื้ม ดีใจกันทั่วถ้วนหน้า ที่พล.อ.ประยุทธ์ “อดีตทหารเสือราชินี” ได้ตำแหน่งสำคัญในบั้นปลายชีวิต
แม้กองเชียร์บางส่วน อาจผิดหวังบ้างเล็กๆ เพราะยังหวังจะเห็น “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง หากสถานการณ์การเมืองวันข้างหน้าพลิกผัน และหาตัว “ผู้นำ” ไม่ได้ สถานการณ์อาจเปิดช่องให้พล.อ.ประยุทธ์กลับมารับใช้บ้านเมืองอีกสักครั้ง ภายใต้ “สถานการณ์พิเศษ” เช่นการเมืองถึงทางตัน บ้านเมืองต้องการ “ผู้นำ” ที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศและได้รับการยอมรับจากประชาชน จนทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ยอมคัมแบ็ก หลังก่อนหน้านี้ประกาศวางมือการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลังผ่านศึกเลือกตั้งไม่นาน
แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์มีตำแหน่งสำคัญในบ้านเมืองแบบนี้แล้ว มันยากแล้วที่จะเห็นพล.อ.ประยุทธ์กลับมาการเมืองอีกครั้ง
เลยทำให้กองเชียร์พล.อ.ประยุทธ์ต้องส่งเสียงดีใจ ที่เห็นพล.อ.ประยุทธ์ได้ตำแหน่งสำคัญดังกล่าวแทน
ขณะที่ในทางการเมือง เมื่อพล.อ.ประยุทธ์วางมือการเมืองแน่นอนแล้ว หากมองไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่คนเคยเรียกกัน “พรรคลุงตู่” มันก็ทำให้หลังจากนี้ คนในพรรคถ้าจะนำเอาพล.อ.ประยุทธ์มาใช้ในการสื่อสารทางการเมืองอีกครั้ง ว่าเป็นอดีตพรรคลุงตู่ ก็คงไม่เหมาะสม ต้องเลิก…ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นประเด็นการเมืองไป
และมันก็ทำให้อนาคตของพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่อจากนี้ ยิ่งถูกตั้งคำถามว่า เมื่อ…ไม่มีลุงตู่-ขายลุงตู่-พูดถึงลุงตู่ ไม่ได้อีกแล้ว ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคนี้จะเอาอะไรไปสู้-ไปขาย
เพราะก็ต้องยอมรับว่า ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้คะแนนมาร่วม 4,673,891 คะแนน จนได้สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 13 คน โดยที่ตั้งพรรคมาได้ไม่ถึงหนึ่งปีก่อนลงเลือกตั้ง คะแนนที่รวมไทยสร้างชาติได้ ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ เป็นคะแนนนิยม ของประชาชนต่อ “ลุงตู่ล้วนๆ” เป็นส่วนใหญ่
เพราะอย่าง หัวหน้าพรรค “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯและรมว.พลังงาน ชื่อชั้น-กระแสนิยม เอาแค่ว่าไปหาเสียงในกทม. ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครรู้จัก เรียกคะแนนไม่ได้ ส่วนต่างจังหวัดยิ่งไม่ต้องพูดถึง
อีกทั้งก็เป็นที่ชัดเจนว่า เลือกตั้งรอบหน้า หลายคนในพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คงย้ายออกจากพรรค หลังไม่มีพล.อ.ประยุทธ์เป็นจุดศูนย์รวม เช่น กลุ่มอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ-กลุ่มเสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น อดีตรมว.แรงงาน ที่ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล และมีสส.ในพรรคประมาณ 6-7 คนที่อยู่ในกลุ่ม
จนสุดท้าย จะทำให้ “รวมไทยสร้างชาติ” จะเหลือแต่พวก อดีตประชาธิปัตย์-อดีตกปปส.ในพรรค เกือบทั้งสิ้น ไม่ต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์….สาขาสอง
ที่สำคัญ จุดขายของ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่เคยขายได้ในบางโซนเช่น “ภาคใต้” พอไม่มีพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นจุดขาย เพื่อเรียกคะแนน ยังไงก็มีผลทั้งต่อสนามเลือกตั้งสส.เขตและการเรียกคะแนนปาร์ตี้ลิสต์แน่นอน
เพราะเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่ “รวมไทยสร้างชาติ” ได้สส.มาเป็นกอบเป็นกำ เช่น “ชุมพร” ที่ชนะยกจังหวัด 3 เขตเลือกตั้ง หรือที่ “สุราษฎร์ธานี” ที่เกือบยกจังหวัด เพราะกวาดมา 5 ที่นั่งจาก 6 เขต พลาดไปให้ “ภูมิใจไทย” แค่ 1 เขต ส่วน “ประชาธิปัตย์” ที่เคยชนะยกจังหวัดตอนปี 2562 สูญพันธุ์หมดที่สุราษฎร์ธานี
แม้จริงอยู่ว่า ส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เพราะหัวหน้าทีมเลือกตั้งในจังหวัดและตัวผู้สมัครแข็งแรง แต่การมี “ลุงตู่” มาช่วยเรียกคะแนนด้วย มันทำให้ยิ่งง่ายต่อการชนะอย่างที่เห็น
ส่วน “กรุงเทพมหานคร” แม้ “รวมไทยสร้างชาติ” จะไม่ได้สส.เขตสักคน แต่หลายเขตเลือกตั้ง คนของพรรคก็มาอันดับ 2 และพรรคก็ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่กทม.มามากโข ที่สาเหตุหลักก็มาจากคะแนนนิยมของคนกทม.ต่อพล.อ.ประยุทธ์ล้วนๆ เพราะผู้สมัครสส.เขต กทม.ของ “รวมไทยสร้างชาติ” ส่วนใหญ่ “โนเนม” ชื่อชั้น…เรียกคะแนนไม่ได้
แต่เมื่อต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่สามารถพูดถึง “พล.อ.ประยุทธ์” ได้อีกแล้ว อีกทั้งในพรรคมีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊กกันอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นว่าตอนนี้ “รวมไทยสรางชาติ” ก็คือ พรรคของกลุ่มพีระพันธุ์คุมทั้งหมด จึงทำให้กลุ่มอื่นๆ ในพรรค ตอนนี้ก็แค่อยู่ไป เพื่อรอวันแยกย้ายอย่างเดียว ทำให้อนาคตของดูแล้ว เมื่อไม่มีจุดขายอย่างพล.อ.ประยุทธ์ อนาคตดูไม่สดใสเสียจริงๆ
ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่ตอนนี้ก็รู้กันดีว่า “ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค-รมว.เกษตรฯ ยึดเกือบหมดแล้ว แทบจะกลายเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงแล้ว เพราะเดินเกม-ต่อรองการเมืองอะไรต่างๆ กับ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” เองหมด จนได้เก้าอี้ รมว.เกษตรฯ โดยสาเหตุก็เพราะ “บิ๊กป้อม” ตอนนี้ขาลอย ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล เป็นแค่สส.กับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทำให้บารมี “บิ๊กป้อม” ช่วงหลังตกไปเยอะ
ผนวกกับด้วยวัยที่โรยรา ตอนนี้ก็ 78 ปีแล้ว หากเลือกตั้งอีกครั้ง รอบหน้าถึงต่อให้สภาฯอยู่ไม่ครบเทอม “ลุงป้อม” ก็ 80 ปีขึ้นแล้ว ที่แม้จะดัน “น้องชาย-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” มาเป็นรองนายกฯควบรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯได้ เพื่อเตรียมส่งไม้ต่อให้คุมพรรคแทน แต่บารมี-การยอมรับจากคนในพรรคกลับสู้ “ธรรมนัส” ไม่ได้
เผลอๆ ไม่แน่…หาก “ธรรมนัส” ประเมินแล้ว “พลังประชารัฐ” ไปต่อไม่ไหว หากต้องเข็นพรรคลงเลือกตั้ง แล้วต้องจ่ายหนัก ก็อาจจะย้ายกลับ “เพื่อไทย” ก็ได้ หรือไม่ก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเต็มตัวไปเลย แล้วทำพรรคขนาดกลางๆ 30-40 เสียง รอร่วมรัฐบาลอย่างเดียว ที่ถ้าออกมาแบบนี้ มันก็ไม่ใช่พรรคลุงป้อมแล้ว กลายเป็นพรรคธรรมนัสไป แต่ประเมินแล้ว พรรคพลังประชารัฐคงไม่โตไปกว่านี้ แนวโน้มคงได้สส.ลดลง จากที่ตอนนี้มีอยู่ 41 คน
ดูจากตอนนี้ อนาคตของ “พรรคสองลุง” แม้อาจจะอยู่ได้ เพราะตอนนี้ ก็เป็นพรรครัฐบาล ทำให้ยังมีราคาค่างวดทางการเมือง แต่ระยะยาวไม่สดใส โดยเฉพาะหากคิดจะเติบโตไปมากกว่านี้ เพราะแนวโน้มน่าจะมีแต่จะเล็กลงมากกว่า
…………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย.. “พระจันทร์เสี้ยว”