วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightศาลปกครองกลางเพิกถอนคำสั่ง‘คลัง’ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้3.5หมื่นล.คดีจำนำข้าว
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศาลปกครองกลางเพิกถอนคำสั่ง‘คลัง’ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้3.5หมื่นล.คดีจำนำข้าว

ศาลปกครองกลาง อ่านคำพิพากษา คดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,000 ล้านบาท ในคดีทุจริตจำนำข้าว

เมื่อวันที่ 2 เม.ย.64 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ กรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ อธิบดีกรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๙ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้ง ๔ คดี เข้าด้วยกัน

ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๔ ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน ๓๕,๗๑๗,๒๗๓,๐๒๘.๒๓ บาท ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ กรณีผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ และคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ถึงที่ ๙ ที่ให้ทำการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด พร้อมกับมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ และที่ ๖ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากคำสั่งดังกล่าว เป็นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และที่ ๖ มีคำสั่งตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๖/ล ๒๑๗๔ ลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของผู้ฟ้องคดีที่ ๒

คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยรวม ๔ ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่หนึ่ง คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การดำเนินการตามนโยบายจำนำข้าว ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบาย ลำพังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้ สำหรับขั้นตอนการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางกรอบนโยบายในคราวการประชุม กขช. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมติของที่ประชุม จำนวน ๑๒ คณะ แต่ละคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นจะมีอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานอนุกรรมการ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G TO G) คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยนายภูมิ สาระผล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น มีอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติพิจารณา จัดการ ดำเนินการและตรวจสอบ และคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการเจรจาการซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลและเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศนำผลการเจรจาต่อรองสุดท้ายเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวพิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายในนามของรัฐบาลไทย ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าว มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ไม่อาจที่จะรับรู้รับทราบข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติ อีกทั้งฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เป็นผู้ปฏิบัติในฐานะเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่าง ๆ ในการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และมิได้เป็นคณะอนุกรรมการตามที่ กขช. แต่งตั้งแต่อย่างใด

เมื่อมีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งคณะกรรมการด้านนโยบายข้าว ที่ ๑/๒๕๕๖ แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือของ อ.ค.ส. และ อ.ต.ก. มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและประมูลข้าวคงเหลือของโรงสี โกดังกลางที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวและมีการประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการอื่น ๆ อีกหลายครั้ง มีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตหรือผู้กระทำผิดควบคู่กับการใช้มาตรการทางปกครองตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว กรณีจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ มิได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว ส่วนกรณีที่ สตง. มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จำนวน ๓ ฉบับ เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับหนังสือ สตง. ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาทบทวนและยุติโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลต่อไปนั้น เป็นหนังสือออกมาภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ยุบสภา เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เพียงรักษาการ
ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ และหนังสือดังกล่าวก็มิได้ปรากฏในคำสั่งพิพาทเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย กรณีที่ สำนักงาน ปปช. มีหนังสือ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ แจ้งผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีขึ้นล่วงหน้าก่อนที่จะเปิดโครงการรับจำนำข้าวสองวัน เป็นการเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นเพียงคำแนะนำ เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับหนังสือแจ้งจาก สตง. และสำนักงาน ปปช. ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ก็ได้สั่งการตามอำนาจหน้าที่โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาป้องกันดูแลการทุจริตตามอำนาจหน้าที่แล้ว ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลเชิงนโยบาย มีข้อราชการที่ต้องบริหารกำกับดูแลมากมาย มิจำต้องถึงขนาดที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต้องติดตามหนังสือสั่งการทุกฉบับและตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานทุกหน่วยงานดังกล่าวด้วยตนเองทุกกรณี อีกทั้งหนังสือ สตง. และสำนักงาน ปปช. มิใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ

การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เห็นว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่อื่นที่มีส่วนต้องรับผิดในมูลละเมิดเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดตามสัดส่วนเฉพาะในส่วนของตน แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิดมากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ผู้เดียวเป็นผู้กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ อีกทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏในคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า …แต่โดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด… โดยถือว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะผู้บังคับบัญชามีส่วนเกี่ยวข้องใน ๒ ขั้นตอน คือ การเสนอโครงการและการเบิกจ่ายเงิน เสมือนเป็นทั้งผู้อนุมัติโครงการและผู้อนุมัติเบิกจ่ายเงิน จึงมีสัดส่วนความรับผิดในแต่ละขั้นตอน ร้อยละ ๑๐ เมื่อรวม ๒ ขั้นตอนแล้ว คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง จึงเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ควรมีสัดส่วนความรับผิดเท่ากับ ร้อยละ ๒๐ ของมูลค่าความเสียหาย จำนวน ๑๗๘,๕๘๖,๓๖๕,๑๔๑ บาท ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องรับผิดจำนวน ๓๕,๗๑๗,๒๗๓,๐๒๘.๒๓ บาท… จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ยอมรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดในการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด การกำหนดสัดส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดจึงมิได้เป็นไปตามมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘ แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๗ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และไม่เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๒/ว ๖๖ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๐

เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในแผนการบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวแล้ว ให้มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี และส่วนราชการ ที่จะต้องดำเนินการจัดทำภารกิจให้เป็นไปตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกันจัดให้มีการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการดำเนินการอยู่เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีสำหรับเป็นแนวทางในการพิจารณาว่า ภารกิจใดสมควรจะได้ดำเนินการต่อไปหรือยกเลิกและเพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งงบประมาณของส่วนราชการในปีต่อไป โดยในการประเมินความคุ้มค่า ให้คำนึงถึงประเภทและสภาพของแต่ละภารกิจ ความเป็นไปได้ของภารกิจหรือโครงการที่ดำเนินการ ประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะพึงได้และรายจ่ายที่ต้องเสียไปก่อนและหลังที่ส่วนราชการดำเนินการด้วย คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวไม่มีอำนาจหน้าที่ในการประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติตามโครงการรับจำนำข้าว และไม่อาจพิจารณาเพียงจากผลกำไรขาดทุนทางบัญชี จากการซื้อและขายข้าวตามข้อมูลของคณะอนุกรรมการ ฯ โดยต้องคิดคำนวณการหักค่าข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวคงเหลือในคลังสินค้า การระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลที่ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการระบายข้าวอยู่เป็นจำนวนมากให้ได้ข้อยุติก่อน

การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในอัตราร้อยละ ๒๐ ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน ๓๕,๗๑๗,๒๗๓,๐๒๘.๒๓ บาท จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ประกอบกับการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวมีการดำเนินการในรูปแบบของกรรมการซึ่งจะต้องอาศัยมติที่ประชุมเสียงข้างมาก แม้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จะอยู่ในฐานะประธาน แต่ก็มิอาจมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ ยับยั้ง อนุมัติ เห็นชอบ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของตนได้ ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำการตั้งกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยื่นญัตติต่อคณะรัฐสภา เรื่อง ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวเกี่ยวกับการที่เกษตรกรถูกโกงความชื้น และระหว่างดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ว่า การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มีการทุจริตเกิดขึ้น มาประกอบการให้เหตุผลในคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้เงินค่าเสียหาย นั้น การตั้งกระทู้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี การลงมติไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เป็นการคานอำนาจของฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติอันเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านในรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ตอบกระทู้ สรุปความได้ว่า…ได้มีการอนุมัติให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด ๑๐ จังหวัด และในโครงการนี้ที่ผ่านมา ดีเอสไอ (DSI) ก็รับเรื่องของโครงการทุจริตที่จังหวัดกาญจนบุรีไปเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว…กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ ที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ตามมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘ แห่ง พ.ร.บ.ละเมิด ฯ

ประเด็นที่สอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ และที่ ๖ ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ อันเกิดจากคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เป็นการใช้อำนาจตามข้อ ๙ ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ ของระเบียบ ฯ และคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นการใช้อำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ.ละเมิด ฯ และข้อ ๑๘ ของระเบียบ ฯ ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ และที่ ๖ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย และเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ต้องรับผิด จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ และที่ ๖ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑

ประเด็นที่สาม คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ถึงที่ ๙ ที่มีคำสั่งให้ทำการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด อันเป็นการบังคับตามมาตรการบังคับทางปกครอง สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ และประเด็นที่สี่ คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๖/ล ๒๑๗๔ ลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่องคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

ที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ถึงที่ ๙ จึงไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา ๕๗ แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติฯ ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด และไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ อ้างว่าตนมีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด โดยมีมูลเหตุมาจากคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน ๓๕,๗๑๗,๒๗๓,๐๒๘.๒๓ บาท เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใด ๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ถึงที่ ๙ ในการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๖/ล ๒๑๗๔ ลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของผู้ฟ้องคดีที่ ๒ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img