หน้าแรกNEWSเอกชนหวังข้อเสนอใหม่ไทยยื่นต่อสหรัฐ เอื้อ“ขีดความสามารถแข่งขันทางการค้า”

เอกชนหวังข้อเสนอใหม่ไทยยื่นต่อสหรัฐ เอื้อ“ขีดความสามารถแข่งขันทางการค้า”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พจน์” มั่นใจข้อเสนอรอบ 3 ตอบโจทย์ USTR คาดตัวเลขสุดท้าย ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับที่เอื้อต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ข้อเสนอรอบล่าสุดของไทย ที่ยื่นต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เมื่อค่ำวันที่ 17 กรกฎาคม สร้างความพึงพอใจให้แก่ฝ่ายสหรัฐฯค่อนข้างมาก โดยคาดหวังว่า ตัวเลขสุดท้ายของอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะกำหนดสำหรับสินค้าไทย จะอยู่ในระดับที่ไทยยังสามารถแข่งขันทางการค้าได้

ทั้งนี้ได้ติดตามการดำเนินการของ “ทีมไทยแลนด์” อย่างใกล้ชิด โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ภาครัฐได้เชิญตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมหารือเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเจรจาอย่างเป็นทางการกับ USTR ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันที่ 17 กรกฎาคม

โดยเห็นว่า ข้อเสนอที่ไทยยื่นเป็นรอบที่ 3 ซึ่งได้ปรับปรุงจากข้อเสนอชุดก่อนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ถือเป็นข้อเสนอที่สหรัฐฯ ให้การตอบรับในทิศทางที่ดี แม้ยังมีบางรายการที่อยู่ระหว่างการต่อรองเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่า จะมีการหารืออย่างต่อเนื่อง

สำหรับภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะผู้ส่งออก ยังคาดหวังว่า สหรัฐฯจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้ใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค

พจน์ อร่ามวัฒนานนท์

ก่อนหน้านี้นายพิชัย ระบุว่า ข้อเรียกร้องสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ในการเจรจาครั้งนี้คือ การขยาย Market Access หรือการเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ เข้ามาขายสินค้าในไทยได้มากขึ้น ทั้งในแง่ปริมาณและประเภทสินค้า ซึ่งทีมไทยได้พิจารณาอย่างรอบคอบภายใต้หลักการว่า จะเปิดเฉพาะสินค้าที่เขาอยากขาย และเราอยากซื้อ โดยเน้นรายการที่ไทยยังผลิตไม่ได้ หรือผลิตไม่เพียงพอเช่น พลังงาน วัตถุดิบเกษตร หรือวัตถุดิบอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถกำหนดอัตราภาษีนำเข้าระดับต่ำหรือ 0% ได้อย่างเหมาะสม

ซึ่งการเจรจาครั้งนี้มีความซับซ้อนและแตกต่างจากการเจรจา FTA ทั่วไป เนื่องจากเป็นการเสนอในลักษณะ “US Preferential Treatment” หรือการขอสิทธิพิเศษฝ่ายเดียว ซึ่งไทยจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยยึดหลักการรักษาสมดุลผลประโยชน์ระยะยาว และไทยได้พยายามปรับข้อเสนอให้ครอบคลุมรายการสินค้านำเข้าที่เปิดตลาดได้ถึง ประมาณ 90% แล้ว จากสินค้าทั้งหมดราว 10,000 รายการ โดยในจำนวนนี้มีหลายรายการที่ไทยมี FTA กับประเทศอื่นอยู่แล้ว จึงไม่มีผลกระทบ หากจะเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามา นอกจากนี้สินค้าที่ราคาภายในประเทศไม่สูงเช่น ลำไย ปลานิล ที่ฝ่ายสหรัฐฯ ขอเปิดตลาดก็จะส่งผลต่อราคาผลผลิต หรือรถยนต์พวงมาลัยซ้ายซึ่งเชื่อว่า จะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศเช่นกัน

ในประเด็น Local Content ที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญมากเช่นกัน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่ไทยจะใช้โอกาสนี้เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ พัฒนาอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าเพิ่ม ลดการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรและ SME โดยภาครัฐได้เตรียมมาตรการเยียวยาไว้แล้ว เป็นเงินกู้ดอกเบื้ยต่ำ 0.01% วงเงิน 200,000 ล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการค้าครั้งนี้.

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img