“ยิ่งลักษณ์” พ้นมลทินจริงหรือ… ทำไม “เจ๊แดง”ต้องอยู่ดูไบ

                                  

เปรียบเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ ให้กับบรรดาผู้รักและศรัทธาบุลคลในตระกูล “ชินวัตร” ก็อาจจะพูดอย่างนั้นได้  หลัง “คุณปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง  2 คน ยื่นฟ้อง “นายกรัฐมนตรี” กับพวกรวม 9 คน ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.59 ที่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท

โดยศาลปกครอง(ปค.)กลาง มีคำพิพากษาระบุว่า คำสั่งกระทรวงการคลังไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า อดีตนายกฯเพียงคนเดียวไม่สามารถระงับยับยั้งโครงการ หรือให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการรับจำนำข้าวได้

ต้องยอมรับว่า ปมปัญหาทุจริตจากโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นรอยด่างพร้อยของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์มาตลอด นอกจากนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังมีคำพิพากษาลงโทษผู้เกี่ยวข้องหลายคน

แม้กระทั่ง “อดีตนายกฯปู” ยังถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี จากข้อหาปล่อยปละเลยให้เกิดการทุจริตจากโครงการประชานิยม พ่วงด้วยการออกคำสั่งให้ชดใช้ความเสียหาย ซึ่งเกิดจากโครงการฉาว แต่อย่างที่ทราบกัน “น.ส.ยิ่งลักษณ์” เดินทางหลบหนีไปต่างประเทศ ไม่ยอมรับฟังคำพิพากษา แต่วันนี้เธอพำนักอยู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นบ้านพัก “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสถานะเป็นพี่ชาย และตกอยู่ในสภาพผู้ต้องหาหนีคดีเช่นเดียวกัน  

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนไปดูช่วงผลักดันให้โครงการรับจำนำข้าวเดินหน้า ก็มีปัญหาในทางปฎิบัติตามมาหลายเรื่อง ทั้งตั้งราคาสูงเกินกว่าความเป็นจริง นำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์ ความเสียหายจากการเก็บข้าวไว้ในสต๊อก และปัญหาอีกมากมายหลายประการ เรียกว่าจับตรงไหน ก็เจอปมฉาวเกือบทุกเรื่อง

จนในที่สุด “พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)” แกนนำพรรคฝ่ายค้าน นำเรื่องนี้ไปเปิดโปงตีแผ่ในสภา ซึ่งบุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ซึ่งในช่วงเวลานั้น ยังมีสถานะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเก่าแก่ ก่อนจะลาออกเพื่อมาเคลื่อนไหวในภาคประชาชน ก่อนจะมีส่วนรวมในการก่อตั้ง “พรรคไทยภักดี (ทภ.)” มีเป้าหมายหลักในการปกป้องสถาบัน

อย่างไรก็ตามภายหลัง ”นพ.วรงค์” รับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ได้เฟซบุ๊กไลฟ์เรื่อง “คดียิ่งลักษณ์อย่างไรก็ผิดอาญา” นำคำพิพากษาศาลปค.กลาง มาเทียบเคียวกับคำพิพากศาลฎีกาฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับน.ส.ยิ่งลักษณ์  

ตอนหนึ่งระบุว่า ….ศาลฎีกาฯเห็นว่า ในส่วนความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว โดยการแอบอ้างทำสัญญาขายแบบรัฐต่อรัฐ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า จำเลยรับรู้การแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง, การตั้งกระทู้ถามสด, กระทู้ทั่วไป, การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายการเมือง และข่าวสารจากสื่อมวลชน  

ยิ่งกว่านี้ก่อนเริ่มโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งเตือนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำเอานโยบายรับจำนำข้าวไปดำเนินการปฏิบัตินั้น จะมีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และการทุจริตในขั้นตอนต่างๆให้จำเลยทราบเป็นระยะๆ  

แต่จำเลยกลับไม่ได้ติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากจำเลยในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุม กขช. เพียงการประชุมครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนการประชุมอีก 22 ครั้ง ไม่ได้เข้าประชุม

นอกจากนี้หลังจากที่ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการทุจริตการระบายข้าว ปรากฏว่ายังมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าวถึง 4 สัญญา ทั้งที่ยังมีระยะเวลาเพียงพอที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่นพ.วรงค์อภิปราย และจำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้ง การส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อน  

แต่จำเลยในฐานะนายกฯและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจในการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว กลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายบุญทรง (เตริยาภิรมย์) กับพวก แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว 

โดยการแอบอ้างนำบริษัท GSSG และบริษัท Hainan grain เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง ถือได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ 

ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง และประเทศชาติ เป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พิพากษาจำคุก 5 ปี

ขณะที่ “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคปชป.ให้ความเห็นคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ถือว่ายังไม่ถึงที่สุด จะต้องมีการไปอุทธรณ์ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป แต่มีอีกกรณีหนึ่งที่เกี่ยวพันกับกระทรวงพาณิชย์ คือคดีขายข้าวจีทูจี ที่ศาลมีการตัดสินไปแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังต้องไปดำเนินการว่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่

เช่นเดียวกัน ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ซึ่งกระทรวงการคลังชี้ไปแล้วว่าขายต้องชดใช้เท่าไหร่ ทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และโดยเหตุที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้เสียหาย ในคดีจีทูจี ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการบังคับคดีให้ผู้เสียหายได้ชดใช้ แต่ผู้ที่ต้องชดใช้ก็ไปร้องศาลปค. ซึ่งศาลปค.ก็วินิจฉัยแล้วว่าเป็นคำสั่งที่ชอบ ดังนั้นจึงต้องไปตามบังคับคดีต่อไป ส่วนคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องรอการอุทธรณ์ของศาลต่อไป

ด้านมือกฎหมายรัฐบาล “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทรัพย์สินที่รัฐได้ยึด น.ส.ยิ่งลักษณ์ เบื้องต้นยังมีไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่เมื่อศาลปค.สั่งมาแบบนี้ ก็ต้องหยุดและดำเนินการอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่คดียังไม่ถึงที่สุด

ทั้งนี้รัฐต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการคลังก็รับทราบแล้วทั้งหมด ซึ่งถือว่าไม่เป็นไร เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด ก็ว่ากันไปตามขั้นตอน ถือเป็นเรื่องธรรมดา

“การยึดทรัพย์ก็มีชนะบ้างแพ้บ้างเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้ติดใจอะไร ก็อย่าไปพูดก็แล้วกันว่า พอฝ่ายไหนชนะก็มาบอกว่าศาลตัดสินยุติธรรม แต่พอแพ้ก็บอกว่าไม่ยุติธรรมสองมาตรฐาน เอียงสองมาตรฐาน ขอร้องว่าอย่าไปคิดแบบนั้น ปล่อยให้คดีเดินไปจนถึงที่สุด”

เมื่อถามว่าหลายคนเข้าใจผิดหลังศาลปค.กลางมีคำวินิจฉัยออกมาคิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถเดินทางกลับมาไทยได้เนื่องจากไม่มีความผิด นายวิษณุกล่าวว่า “ก็กลับมาซิ ถ้าอยากจะกลับมา ไม่ได้ว่าอะไร แต่ต้องย้ำและขีดเส้นใต้ไว้ว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ถ้าถามว่าผิดหรือไม่ในขณะนี้ รัฐก็ยังมีคำพิพากษาของศาลฎีกาว่าผิด เพราะถ้าเริ่มต้นศาลไม่บอกว่าผิด เราจะไปยึดทรัพย์เขาได้อย่างไร”

สวนทางกับความเห็น “นายภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และเลขานุการผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งให้ความเห็นว่า ศาลชี้ว่าคำสั่งที่เอาผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง คำวินิจฉัยชี้ชัดว่า อดีตนายกฯไม่ต้องรับผิดในคดีรับจำนำข้าว คำสั่งกระทรวงการคลังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นธรรมแก่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่านายกฯยิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว

แต่ในที่สุดคดีของอดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย หน่วยงานรัฐต้องยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปค.สูงสุดแน่ๆ เนื่องจากถูกจับตามองจากหลายฝ่าย อย่าลืมว่าโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหาย ให้กับประเทศไทยหลายแสนล้านบาท ขณะที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ก็เดินทางหลบหนีไปต่างประเทศ และถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีความผิด จะกล้าเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีคนตั้งคำถามว่า ทำไม “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ซึ่งมีบทบาททางการเมืองเป็นอย่างสูงยิ่ง ในช่วงตระกูล “ชินวัตร” ยึดครองอำนาจรัฐ ภายใต้รหัส “เจ้าแม่วังบัวบาน” จึงเดินทางไปพำนักที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นบ้านพักของพี่ชายสุดที่รัก ทั้งๆ ที่ไม่คดีความเป็นชนักติดตัวอยู่

อีกทั้งยังไม่ปรากฎภาพเผยแพร่สู่สาธารณะชน เมื่อเทียบกับ “นายทักษิณ” และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” เว้นเสียแต่ว่า เวลามีคนคนไทยหรือคนรู้จักมักคุ้นเดินทางไปหารือกับพี่ชาย จะเห็นภาพ “เจ๊แดง” ปรากฎขึ้น ซึ่งท่าที่ดังกล่าว เลยทำให้หลายคนนึกไปถึงกระแสข่าว การตรวจสอบโครงการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เพื่อขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง

มีหลักฐานในโซเชียลปรากฎเป็นข้อความสั่งการ ของนักการเมืองบางคนที่สื่อสารไปถึงบุคคลสำคัญ ที่มีตำแหน่งฝ่ายบริหาร โดยหลักฐานสำคัญชิ้นนี้ที่ภาครัฐได้มา เป็นการให้ความร่วมมือของมิตรประเทศบางชาติ  ซึ่งมีนโยบายต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 

เมื่อข่าวชิ้นนี้ปรากฎขึ้น เลยมีการคาดเดาว่า เจ้าของบทสนทนาและสั่งการให้ฝ่ายบริหารทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นใคร แต่ก่อนจะปีจุดนั้น คงรอลุ้นว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์” จะได้รับข่าวดี หลังหน่วยงานรัฐไปยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปค.สูงสุด ในคดีชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่

……………………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย.. “แมวสีขาว”