ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” หลังเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุดทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนพฤษภาคมและเฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 5 ครั้ง ในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนเทขายทองทำกำไร หลังราคารีบาวด์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.67 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.51-35.69 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการทยอยย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนพฤษภาคมและเฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 5 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ยังได้ส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ที่ยังคงสดใส และความคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 5 ครั้งในปีนี้ ได้ช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมีการขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่น AMD -3.6%, Nvidia -1.6% ที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในปีนี้บ้างก็ตาม ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดรีบาวด์ขึ้น +0.23%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.63% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาสดใส โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น BP +5.5% ขณะเดียวกัน ความหวังต่อการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน จากการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน และการเข้าพยุงตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง ก็ช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นยุโรปที่เกี่ยวข้องกับธีมการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ต่างปรับตัวขึ้น เช่น หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และยานยนต์ Rio Tinto +0.8%, Ferrari +1.5%
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -125bps ในปีนี้ รวมถึงความกังวลของผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่อปัญหาธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ (US Regional Banks) ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.11% ทั้งนี้ เราคงมองเหมือนเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยหลายครั้งของเฟด ดังนั้นเราจึงขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return ซึ่งหากบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯสามารถปรับตัวขึ้น ทะลุระดับ 4.20% ไปได้ ก็จะมีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อเป็นอย่างมาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟดราว 5 ครั้งในปีนี้ ซึ่งถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สู่โซน 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์จากโซนแนวรับของราคาทองคำออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเรามองว่า กนง.อาจมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ทว่าควรจับตาการปรับเปลี่ยนมุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ (ถ้ามี)นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์สหรัฐฯในช่วงนี้ได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง. ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้โซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากที่เงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนก่อนหน้า ทว่า เงินบาทก็อาจพอแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเอเชีย ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งต้องจับตาว่า ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง จะยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ โดยภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินจีนก็จะช่วยหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่งผลดีต่อสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินที่เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกับจีนสูง อย่าง ค่าเงินบาท
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. (ในช่วง 14.00 น. เป็นต้นไป) โดยเราประเมินว่า ค่าเงินบาทเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าเร็วและแรง หาก กนง.มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ย (มีคณะกรรมการบางท่าน เห็นควรให้ลดดอกเบี้ย -25bps) หรือ กนง. มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจน พร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งอาจต้องเห็นการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยให้แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นกัน
โดยเบื้องต้น ประเมินว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 35.70-35.75 บาทต่อดอลลาร์ และหากผู้เล่นในตลาดประเมินว่า การทยอยลดดอกเบี้ยของ กนง. หากเกิดขึ้น จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ก็อาจเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือ อาจหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าแถวโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือทดสอบแนวรับถัดไป 35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.65 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง.และประเมินกรอบเงินบาทในช่วง 35.40-35.75 บาทต่อดอลลาร์ หลังทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.