“จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรม แล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สิน เงินทองได้ประการหนึ่ง ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน มีคุณธรรมวิเศษในใจ มีดวงตาเห็นธรรมรู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน มีมรรคองค์ 8 เป็นปฏิปทาในตนแล้ว จึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชนผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้..”
“เปรียญสิบ” อ่านคำพิพากษาของศาลกรณียกฟ้อง “ผู้จัดการ” นี้แล้ว เป็นสำนวน “ประวัติศาสตร์” เสมือนคำพิพากษาของศาลที่ยกคำร้องคดี “อดีตพระพิมลธรรม” ที่ว่า…
“เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป”
คำพิพากษาครั้งนี้ เหมือน “ตบหน้า” สั่งสอน “วงการคณะสงฆ์” ในฐานะ “พี่ใหญ่ชาวพุทธ” เพราะปล่อยให้ “เกิดมี” ชาวพุทธบางกลุ่ม “หากิน-แสวงค้ากำไร” จาก “หลักธรรม” และความเชื่อทาง “พระพุทธศาสนา” ทั่วสังฆมณฑล “ไม่เว้น” แม้กระทั้งในวัด บางคนชี้เป้าไปที่ “มหาวิทยาลัยสงฆ์” หรือจำพวกกลุ่มพระที่ “ขายคอร์ส” อบรมแล้วเก็บเงินก็มี??
สำนวนคำพิพากษานี้ ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คัดลอกต้นฉบับเต็ม แล้วแจกจ่ายให้กับ “มหาเถรสมาคม” ทุกรูป เพื่อเป็นแนวทางป้องกัน “หลักธรรม” คำสั่งสอน จารีตประเพณีในพระพุทธศาสนาให้กับคณะสงฆ์ทั่วประเทศ
ยุคนี้ต้องยอมรับว่า “ภูมิความรู้” ของผู้พิพากษา “นิ่งและแน่น” มาก “พระสมเด็จ-พระราชาคณะ” บางรูปยังแพ้ สำนวนคำพิพากษานี้เป็นระดับชนชั้นรู้ภูมิศึกษา “พระอภิธรรม” มาอย่างลึกซึ้ง
“เปรียญสิบ” คิดว่า ยุคนี้มหาเถรสมาคมต้องหาทาง “ป้องกัน” และ “คุ้มครอง” หลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้จำต้อง “อาศัยเครื่องมือ” ทางกฎหมายเข้ามาดูแล เป็นไปได้หรือไม่ ขยายระเบียบ “พระวินยาธิการ” อย่างที่ “พระเทพเวที” เจ้าคณะภาค 6 ท่านทำไว้ในเขตปกครองของท่าน คือตั้ง “ศูนย์พระวินยาธิการ” หรือ “ศูนย์คุ้มครองพระพุทธศาสนา” ไปตามจังหวัดต่างๆ ให้ครบทุกภาค โดยร่วมทำ “MOU” กับฝ่ายความมั่นคง สภาทนายความ และภาคีเครือข่ายในท้องถิ่น “เป็นหูเป็นตา” คอยสอดส่องดูแลสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามากระทบต่อ “ความมั่นคง” ทางพระพุทธศาสนา
“เปรียญสิบ” ว่า หาก “มหาเถรสมาคม” ทำได้แบบนี้ มันป้องกันและคุ้มครองหลักธรรมพระพุทธศาสนาได้ในระดับหนึ่ง เพื่อมิให้ “ผู้หนึ่งผู้ใด” นำจากหลักธรรมออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร ตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง ซึ่งอย่างที่ศาลท่านบอกว่า..เป็นการไม่เคารพต่อพระรัตนตรัย
อันนี้ยังไม่นับรวมจำพวกกลุ่มพระภิกษุ-เจ้าสำนักปฎิบัติธรรม-ไลฟ์โค้ช ที่สอนผิดเพี้ยนจาก “พระไตรปิฏก” นับวันใน “สังคมพุทธไทย” ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน!!
…………………………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]