แม้ว่าคนไทยจะคุ้นชินกับการแพร่ระบาดของโควิด -19 มาแล้วสองรอบก็ตามแต่การระบาดจากแหล่งบันเทิงย่านทองหล่อและอีกหลายแห่งในกรุเทพฯ เป็น การระบาด “ระลอก 3” ของไทยอย่างเต็มตัวและมีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายเร็วกว่าสองครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้เทศกาลสงกรานต์ปีนี้กร่อยสนิท
ที่สำคัญการระบาดระลอกนี้ อาจจะ ดับฝัน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ฝันหวานผ่านรายการ “นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง” ในเพจไทยคู่ฟ้าว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้จีดีพี.ขยายตัวเฉลี่ยถึงร้อยละ 4
รวมทั้ง “สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้ออกมาไขความลับว่า ที่รัฐบาลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4 เพราะขณะนี้ตัวเลขการออมเงินของคนไทยสูงขึ้นกว่าร้อยละ 11 คิดเป็นวงเงินถึง 1.5-1.6 แสนล้านบาท ถ้านำเงินก้อนนี้ออกมาใช้จ่ายได้ ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะโตร้อยละ 3 กว่านั้น ให้เป็นร้อยละ 4 ได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ในสถานการณ์อย่างนี้ ในยามเศรษฐกิจที่ยังมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะมีใครกล้านำเงินออมออกมาใช้จ่าย สนองเจตนารมณ์ลุงตู่กันบ้างหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามกอดเงินสดไว้มากที่สุด ยิ่งจะให้นำเงินไปลงทุน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลายปีที่ผ่านมามีแต่การลงทุนภาครัฐเท่านั้น ขณะที่เอกชนยังไม่มั่นใจ จึงไม่ยอมลงทุน ทำให้ไม่มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ
ดังนั้นการจะผลักดันให้จีดีพี.ขยายตัวไปถึงเป้าหมายร้อยละ 4 ในสถานการณ์อย่างนี้ จึงยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว แม้แต่ “ไอเอ็มเอฟ” ยังคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.7 ส่วน ธนาคารโลกก็คาดว่า จะกลับมาบวกร้อยละ 3 รั้งอันดับบ๊วยของอาเซียนตามก้น เวียดนาม คาดจีดีพี.จะบวกแรงถึงร้อยละ 6.6, มาเลเซีย บวกร้อยละ 6, ฟิลิปปินส์ บวกร้อยละ 5.5, อินโดนีเซีย บวกร้อยละ 4.4 ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ การระบาดโควิด-19 หนักกว่าเราหลายเท่า ขณะที่ “กัมพูชา” และ “ลาว” จีดีพี บวกร้อยละ 4 เท่ากับไทย
เหตุผลที่ทั้งไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกคาดจีดีพี.ไทยต่ำ เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศ สูงถึงร้อยละ 13-15 ของจีดีพี “พระเอกขี่ม้าขาว” ที่จะช่วยปลุกให้การท่องเที่ยวฟื้นมาได้มีเพียง “วัคซีน” ตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งจะต้องเร่งระดมฉีดให้กับคนในพื้นที่ท่องเที่ยวให้มากที่สุด เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจ
แต่ทุกวันนี้การบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลยังช้าและสะเปะสะปะ ประชาชนที่ได้รับวัคซีนยังน้อยมาก ซึ่งตอนนี้จำนวนโดสที่ฉีดไปแล้ว ตัวเลขล่าสุดแค่ 4 แสนกว่าโดส (ณ วันที่ 7 เม.ย. 2564) และประชากรที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดส คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.48% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด อย่างกรณีภูเก็ตจะได้วัคซีนราว 100,000 โดส สำหรับ 50,000 คน ในปัจจุบันอัตราการฉีดในภูเก็ตขณะนี้ ยังอยู่ที่วันละ 4,000 คนเท่านั้น
ทั้งที่จากเดิมรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะจัดหาวัคซีนอย่างน้อย 65 ล้านโดสภายในปีนี้ และตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรราว 50-60% นั่นหมายความว่าไทยต้องเร่งกระจายฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 300,000 โดส ต่อวัน ในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปี เพื่อให้ได้ตามเป้า แต่เมื่อมีการระบาดระลอก 3 ความเป็นไปได้ยิ่งริบหรี่ แม้รัฐบาลประกาศว่าจะมีแผนเปิดวันที่ 1 ก.ค.64 นี้ ก็ตาม อาจจะต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด
ตราบใดการจัดการวัคซีนยังมะงุมมะหงาหราและไร้ทิศทาง ที่เคยคาดว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และจะเปิดประเทศสิ้นปี โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 3 ล้านคนเข้ามาเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและรายได้คนไทยที่ฟื้นตัว ก็คงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง
เหนือสิ่งใดโควิดระบาดระลอก 3 เป็นช่วงจังหวะที่รัฐบาลตกอยู่ในสถานการณ์ที่ฐานะทางการเงินก็ร่อยหรอ สะท้อนจากในรอบ 5 เดือน กระทรวงคลังเก็บรายได้จากภาษีต่ำกว่าเป้าราว 1 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะเริ่มขยับเพิ่มเป็น 51% ของจีดีพี. เพดานกำหนดไว้ 60% ของจีดีพี. หนี้ครัวเรือนล่าสุดพุ่งกระฉูดกว่า 89.3% ของจีดีพี. สูงสุดในรอบ 18 ปี ดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ ก็ต่ำกว่ามาตรฐาน สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจริงๆ
ลำพังไม่มีการระบาดเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่บิ๊กตู่ จะผลักดันหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวร้อยละ 4 แต่เมื่อเจอแจ็กพ็อตโควิดระบาดระลอก 3 ดีไม่ดี จีดีพี.ปีนี้อาจจะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ก็เป็นได้
………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
