มาถูกที่ถูกเวลาจริงๆ หลังมีข่าว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในช่วงพักโทษ มีกำหนดการจะเดินทางไปบ้านเกิด จ.เชียงใหม่ในวันที่ 14 มี.ค. โดยมีเป้าหมายจะ ไปทำบุญและเคารพสถูปบรรจุอัฐิบรรพบุรุษ “ตระกูลชินวัตร”
โดยก่อนหน้านั้น “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) บุตรสาวคนเล็กของ “ทักษิณ” ระบุว่า “อาการป่วยของพ่อดีขึ้น และมีความสุข หลังจากที่ได้อยู่กับครอบครัว โดยเฉพาะได้เล่นกับหลานๆ และอยากเดินทางไปยังบ้านเกิดที่จ.เชียงใหม่”
ส่วน “พ.ต.ท.มนตรี บุญยโยธิน” รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ในฐานะโฆษกกรมคุมประพฤติ ก็ออกมาให้ความเห็นว่า “การขอออกนอกจังหวัด เป็นเหตุจำเป็น หรือสามารถเป็นเหตุช่วยเหลือเยียวยาในการกลับตัวเป็นคนดี ก็ขอไปต่างจังหวัดได้ เพียงแค่ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ไปหลายวัน และเพื่อทำให้สภาพจิตใจและเพื่อการรักษาตัวที่ดีขึ้น ก็ใช้ดุลยพินิจอนุญาตได้ เพราะไม่ได้ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ถือเป็นการขอเคลื่อนย้ายพื้นที่ชั่วคราว แต่หากต้องการย้ายที่อยู่ ก็ต้องแจ้งผู้อุปการะ ประสานเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ ต้องไปตรวจบ้านพัก ที่จะพักอาศัยระหว่างพักโทษ เงื่อนไขก็เป็นตามเดิมที่คณะกรรมการพักโทษกำหนด ให้ทำหรือไม่ให้ทำในสิ่งใด”
อ่านดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา คงคาดเดากันได้ เพราะใครๆ ก็รู้ “ทักษิณ” เป็นผู้มีบารมีตัวจริง ทุกหน่วยงานของรัฐ ต่างก็ต้องให้ความเกรงใจ หลังจากก่อนหน้านี้ก็มีเสียงวิจารณ์ เรื่องกระบวนการพักโทษ เพราะอดีตนายกฯไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำซักวันเดียว หลังเดินทางเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 จนมีคนนำเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการและป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ และกระทรวงยุติธรรม
ส่วนกำหนดการในการเดินทางครั้งนี้ ช่วงเช้าวันที่ 14 อดีตนายกฯ จะเข้าสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) แล้วจะเดินทางต่อไปยัง จ.เชียงใหม่ทันที ด้วยเครื่องบินส่วนตัว และเข้าพักที่บ้านพักในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน บรรดาลูกๆ และหลานๆ จะตามมาสมทบที่ จ.เชียงใหม่
ขณะที่วันที่ 15 มี.ค. อดีตนายกฯและครอบครัว จะเดินทางไปทำบุญและเคารพสถูปบรรจุอัฐิบรรพบุรุษตระกูลชินวัตร ซึ่งมี กู่พ่อเลิศ ชินวัตร และ นางยินดี ชินวัตร มารดา กู่พี่สาวและพี่ชาย พร้อมญาติผู้ใหญ่ใน “ตระกูลชินวัตร” ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งอยู่บนดอยติดกับสนามกอล์ฟ อัลไพน์ กอล์ฟ รีสอร์ท เชียงใหม่ ต.ห้วยทราย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ส่วนมีอัฐิของพี่สาว ของนายทักษิณอยู่ที่วัดโรงธรรมสามัคคี
ต้องถือเป็นครั้งแรก ในการเดินทางกลับบ้านเกิดของนายทักษิณ ที่ต้องลี้ภัยไปพำนักอยู่ต่างประเทศ 17 ปีเต็ม ก่อนกลับมาพักผ่อนที่บ้านพักในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ คาดว่าจะมีบรรดาญาติพี่น้องและบุคคลใกล้ชิดจะเข้าพบ
แต่ที่น่าจับตามองคือ จะมีนักการเมืองในพื้นที่ภาคเหนือไปรอเข้าพบหรือไม่ เนื่องจาก เชียงใหม่และพื้นที่ภาคเหนือ ถือเป็น ฐานที่มั่นสำคัญทางการเมืองที่สำคัญ นับตั้งแต่ “ทักษิณ” ก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย (ทรท.) จนมาถึง พรรคพลังประชาชน ต่อเนื่องมาถึง พรรคเพื่อไทย (พท.)
แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยประสบความล้มเหลว ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีสส. 10 คน พรรคเพื่อไทยได้มาเพียง 2 เก้าอี้ โดยพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้ 7 เก้าอี้ ส่วนอีก 1 ที่นั่งเป็นของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นอกจากนี้หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ พรรคก้าวไกลยังคว้าที่นั่งสส.หลายเก้าอี้ ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน นับตั้งแต่ “ทักษิณ” ก้าวเข้ามาทำงานการเมือง หรือต่อให้ต้องสั่งการอยู่ต่างประเทศก็ตาม
จึงไม่แปลกที่นักการเมืองบางคน และคนบางกลุ่มเชื่อว่า การเดินทางไปจ.เชียงใหม่ครั้งนี้ มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝง ต้องการปลุกแฟนคลับ และกองเชียร์ให้กลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม ย้อนไปนึกถึงผลงานของ “ทักษิณ” สมัยดำรงนายกฯ โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีจะมีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งน่าจะเป็นจังหวะสำคัญ ที่อดีตนายกฯจะใช้เป็นช่วงจังหวะเช็คเรตติ้ง ตรวจสอบจุดอ่อน-จุดแข็ง ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งสนามใหญ่ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก
เนื่องจากอดีตนายกฯ ต้องการผลักดันบุตรสาว “แพทองธาร” ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะเท่ากับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองของตระกูล “ชินวัตร” ไล่ตั้งแต่ “ทักษิณ ชินวัตร-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (สามีเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของทักษิณ)-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะมีเพียง “สมัคร สุนทรเวช” ที่เป็นคนนอกเพียงคนเดียว
ขณะที่การเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่ บรรดามวลชนคนเสื้อแดงที่รักและศรัทธาคงไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องการแสดงพลังให้ “เจ้านาย” ที่รักเคารพได้เห็น และทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้เกิดความหวั่นไหวทางการเมือง และมองว่ามวลชนยังมีความรักและศรัทธา “ทักษิณ” อยู่
โดย “วรชัย เหมะ” ที่ปรึกษาของรองนายกฯ ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง ออกมากล่าวว่า จากการที่ได้พูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ เชียงราย รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ทุกคนยังรักเคารพนายทักษิณ ทุกคนต่างดีใจที่นายทักษิณ จะเดินทางไปยังจ.เชียงใหม่ จึงต้องการไปให้กำลังใจนายทักษิณ ดังนั้นตนและคนเสื้อแดง จึงได้นัดรวมตัวกันที่ วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค.
“ไม่ว่านายทักษิณ จะเดินทางไปที่วัดดังกล่าวหรือไม่ พวกเราก็จะรวมตัวกันที่นั่น เพื่อเป็นการส่งกำลังใจให้นายทักษิณ เพราะพวกเราทุกคนต้องการให้นายทักษิณ มีกำลังที่แข็งแรงจะได้นำความคิด ความรู้ ประสบการณ์ที่สั่งสมระหว่างอยู่ต่างประเทศ มาใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติที่เราประสบอยู่เป็นเวลานาน เพราะจากผลงานที่ผ่านมาในสมัยไทยรักไทย พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตอนที่นายทักษิณเป็นนายกฯ สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นเรื่องยาเสพติด ที่เป็นปัญหาเรื้อรังตอนนั้นก็สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด ไม่เหมือนตอนนี้ที่ยาบ้าเต็มเมือง เราจึงต้องการความรู้ความสามารถของท่าน ในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ” วรชัย กล่าว
ส่วนความเคลื่อนไหวของ สส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกจับตามองว่า จะเดินทางไปรอต้อนรับ และขอเขาพบ “ทักษิณ” หรือไม่ แต่เนื่องจากวันที่ 14 มี.ค. เป็นวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้าหากมี สส.เดินทางไปพบกับอดีตนายกฯเป็นจำนวนมาก ก็อาจมีผลกระทบกับองค์ประชุมสภาฯ ซึ่งที่ผ่านมา การเดินทางกลับมาของอดีตนายกฯ ก็ถูกจับตามองและวิจารณ์กันมากพอสมควร ดังนั้นเชื่อว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยคงต้องระมัดระวัง ไม่ทำอะไรให้กระทบการทำงานในสภาฯ และทำให้อดีตนายกฯถูกวิจารณ์ในด้านลบมากขึ้น
ด้าน “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องที่จะมีสส.ของพรรคไปรอต้อนรับ “ทักษิณ” หรือไม่ว่า “ไม่มีหรอกครับ เพราะวันที่ 14 มี.ค. เป็นวันประชุมสภาฯ ไม่ได้ห้าม ซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะอยู่ที่วิจารณญาณของ สส. ซึ่งไม่ควรจะไปอยู่แล้ว แต่หากเป็นอดีตผู้สมัคร หรืออดีตสส.ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นสส.ก็ไม่น่าไป เพราะต้องประชุมสภา”
เช่นเดียวกับ “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล ก็บอกว่า “ทางพรรคไม่ได้มีการคุยกันในเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีข้อห้ามในข้อกฎหมาย ไม่มีเรื่องอะไรผิด เพียงแต่ว่าวันนั้น เป็นวันประชุมสภาฯ ก็ควรจะอยู่ประชุม หน้าที่ของเราอยู่ตรงนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครไป สส.พท.ต้องอยู่ครบ และก็ขอประชาชนว่า อย่าเชิญสส.ไป หรือถ้าเชิญแล้ว สส.ไม่ไป ก็อย่าโกรธกัน เพราะเขาติดภารกิจที่สภา”
อย่างไรก็ตาม วันที่ 15 มี.ค.ไม่ได้มีการประชุมสภาฯ ก็อาจมี สส.และอดีต สส. รวมถึงนักการเมืองที่รักและศรัทธา “ทักษิณ” เดินทางไปก็ได้ เพราะภารกิจของอดีตนายกฯ ถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก หลังจากเดินทางกลับประเทศไทย ยิ่งมีข่าวว่าอีกไม่เดือนข้างหน้า พรรคเพื่อไทยจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
แม้ว่าตามนิตินัย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯและรมว.คลัง จะมีอำนาจในทางกฎหมายพิจารณาปรับย้ายรัฐมนตรี โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าหลักพฤตินัย ใครๆ ก็รู้ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีอำนาจเต็ม แม้ช่วงพำนักอยู่ต่างประเทศ ในช่วงพรรคเป็นแกนนำรัฐบาล คุมการบริหารราชการแผ่นดิ ก็มักมีข่าวรัฐมนตรีและข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ เดินทางไปพบอย่างต่อเนื่อง หากต้องการสมหวัง ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
ยิ่งในช่วงนี้เดินทางกลับมาพำนักในประเทศไทย พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “บุตรสาวสุดที่รัก” ก็รับหน้าที่หัวหน้าพรรค ที่เปรียบเสมือนเป็นสมบัติของตระกูลให้ตนเอง และต้องถูกผลักดันให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลในอนาคต ดังนั้นแกนกลางอำนาจในฝ่ายบริหาร ต้องอยู่ที่ “ทักษิณ” แน่ๆ แม้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยต้องพ่ายแพ้พรรคก้าวไกล ไปอย่างนอกเหนือความคาดหมาย แต่ “ทักษิณ” คงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีกแน่ๆ เพราะจะกระทบกับเป้าหมายที่วางไว้ แม้ “ผู้มีอำนาจตัวจริง” ของเครื่องจักรสีส้ม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “ทักษิณ” แต่ถ้าเป็นเรื่องของอำนาจฝ่ายบริหาร เชื่อว่าคงไม่มีใครยอมใคร
ดูได้จากการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยถึงกลับยอมสลับขั้ว มาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ทั้งที่เคยทำงานรวมกับพรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่ด้วยพรรคแกนนำพรรคฝ่ายค้าน มีแนวทางแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมร่วมงานด้วย อีกทั้งยังมีกระแสข่าว “ดีลลับ” จนทำให้ “ทักษิณ” ได้เดินทางกลับประเทศ
ดังนั้น การยอมรับสภาพเป็นตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์นิยม ไม่สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายที่มีความอ่อนไหว ถือเป็นเรื่องที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับอดีตนายกฯ เพราะครอบครัว “ชินวัตร” ก็ประกอบธุรกิจหลายอย่าง นอกจากนี้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่ยังมีชนักเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเชื่อว่าก็คงหวังว่าจะมี “อำนาจพิเศษบางอย่าง” ช่วยเหลือให้ “น้องสาวสุดที่รัก” เดินทางกลับประเทศไทย โดยได้รับโทษในระดับที่น้อยที่สุด
เชื่อว่า การเดินทางกลับบ้านเกิดของ “ทักษิณ” ถือเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลกำลังเผชิญ บทตรวจสอบของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และ พรรคฝ่ายค้าน ที่กำลังใช้การเปิดอภิปรายทั่วไป เป็นเครื่องมือตรวจสอบรัฐบาล แม้จะไม่มีการลงมติ ก็ถือเป็นการสรางความบอบช้ำได้มากพอสมควร
จึงไม่แปลกที่ “รัฐบาลเศรษฐา” คงต้องหา “ตัวช่วย” ซึ่งคงไม่มีใครทำหน้าที่ได้ดีที่สุด เท่ากับ “ทักษิณ” ซึ่งถือว่า มีบทบาทสำคัญทางการเมือง ช่วยให้พรรคกลับมายืนหนึ่งอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว และการผลักดัน “บุตรสาวสุดที่รัก” ให้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดทางการเมือง เป็นภารกิจที่ละทิ้งไม่ได้จริงๆ
………………………………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย… “แมวสีขาว”