“พิธา” จี้ “เศรษฐา” เปิดไทม์ไลน์แก้ปัญหา PM 2.5 ถ้าอุบเงียบชาวบ้านทำตัวไม่ถูก ตอกกลับรองโฆษกรัฐบาลกล่าวหารบกวนคนหน้างาน ชี้สิ่งที่ทำ อาจจะเกะกะเล็กน้อย แต่เชื่อว่าสิ่งที่จะได้รับกลับไปคุ้มค่าแน่นอน
เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า ได้อ่านข่าวนายกรัฐมนตรี เห็นว่ามีอะไรจะฝากก็ให้ฝากไปได้ จึงอยากใช้โอกาสนี้ สอบถามไทม์ไลน์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ 2-3 วันที่ผ่านมา ถ้าเราดูจะเห็นว่าแย่ที่สุดในโลก วันนี้ดีขึ้น ขยับเป็นอันดับ 3 แสดงว่ามันยังไม่ดีขึ้น ก็เลยอยากจะฝากถามนายกรัฐมนตรีว่าไทม์ไลน์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น โดยเฉพาะภาคเหนือ สัปดาห์นี้คิดว่าต้องแก้อะไร เดือนหน้าเดือนเม.ย. จะเป็นเดือนที่ค่าฝุ่นสูงที่สุด หากดูสถิติจะแก้อย่างไร ปีหน้าจะแก้อย่างไร เพราะถ้าไม่มีไทม์ไลน์มาให้ ก็ไม่รู้จะฝากอย่างไร รวมถึงข้าราชการและภาคประชาชน ชาวบ้านที่อยากมีส่วนร่วมเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรยังไง
นายพิธา กล่าวว่า ดังนั้นขอฝากตุ๊กตาให้นายกรัฐมนตรีก็แล้วกัน ตอนนี้มันสายเกินป้องกันแล้ว คงต้องไปดูว่าสิ่งสำคัญที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ เช่น หน้ากาก N95 เครื่องฟอกอากาศราคาถูกที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ ส่วนเดือนหน้าที่ค่าฝุ่นจะสูงที่สุดในทุกปี สิ่งที่ทำได้เลยคือนายกรัฐมนตรีลองไปดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) หรือของกรมอุตุนิยมวิทยา เอาแผนที่ดาวเทียมมาทับซ้อนกัน 5 ปี คุณจะรู้เลยว่าปีนี้โอกาสไฟไหม้ป่าอยู่ที่ไหนบ้าง อย่างไรก็ตาม เราเข้าใจข้อจำกัดทางกฎหมายและงบกลาง และเข้าใจว่าทำไมผู้ว่าราชการจังหวัดถึงไม่ประกาศเป็นพื้นที่ฉุกเฉิน ต้องฝากนายกฯรัฐมนตรีลองดูว่าทำไมผู้ว่าราชการจังหวัดถึงไม่ประกาศทั้งที่รุนแรงระดับโลก ดังนั้นถ้าจะพูดกับนายกรัฐมนตรีตรงๆ มันคือปัญหาโลจิสติกส์ ไม่ได้เป็นปัญหาทางเทคนิค
ส่วนนายกรัฐมนตรีและโฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงว่ามีการใช้งบกลางในการแก้ไขปัญหาแล้ว มีเป็นมติ ครม. ออกมาด้วย นายพิธา กล่าวว่า อย่างนี้เรื่อง พ.ร.บ.การเกิดภัยพิบัติก็ไม่ต้องมี ก็เป็นดุลยพินิจว่าจะใช้ได้หรือไม่ได้ แล้วความแตกต่างระหว่างสถานการณ์ปกติกับสถานการณ์ฉุกเฉินมันมีความแตกต่างกัน ซึ่งสถานการณ์ก็ไม่คลี่คลายลง
นายพิธา ยังกล่าวว่า ส่วนการลงพื้นที่เมื่อวานนี้ทางกองโฆษกรัฐบาล ออกมาตอบโต้ว่าเป็นการรบกวนคนหน้างาน หรือมีการใช้คำว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นั้น 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในหน้าที่ของ สส. มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพราะฉะนั้นส่วนที่มาดับไฟ ก็มีส่วนช่วยในการที่ทำให้ตนทำงานได้ดีขึ้นและสิ่งที่ทำ อาจจะเกะกะเล็กน้อย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่จะได้รับกลับไปคุ้มค่าแน่นอน