ถ้าไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าอีก 2 สัปดาห์ รัฐบาลจะนำรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบมีมติ 253 ต่อ 0 เสียง เห็นด้วยกับรายงานฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ
ที่ผ่านมา รัฐบาลหลายคณะพยายามผลักดัน พยายามศึกษา แต่ก็ไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม อาจจะวิตกถึงกระแสต่อต้าน หรือคนบางกลุ่มที่ออกมาคัดค้าน โดยยกเหตุผล ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ หากเปิดเสรีให้มีการเล่นการพนันอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของสถานบันเทิงครบวงจร อาจทำให้คนบางกลุ่มหลงใหลในอบายมุข บ้านเมืองมีอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีการวางมาตราการป้องกันรูปแบบต่างๆ ไว้ก็ตาม
แต่ดูเหมือน ฝ่ายบริหารชุดปัจจุบัน มีความมุ่งมั่น ซึ่งอาจเป็นเพราะคาดการณ์ไว้ว่า จะมีเม็ดเงินเข้าประเทศเป็นจำนวนมหาศาล เนื่องจาก “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” มีนโยบายที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ที่ต้องใช้เงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้เปลี่ยนแนวทางจากการออกพ.ร.บ.เงินกู้ มาเป็นการใช้งบประมาณปกติ
“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง ในฐานะประธานกมธ. กล่าวในระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณาผลการศึกษาเรื่องศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ยืนยันว่า การศึกษาของกมธ.ไม่ใช่ข้อยุติ วันนี้สิ่งที่นำเสนอเป็นเพียงแค่รายงานการศึกษา หลังจากรายงานเข้าสู่สภาฯ วันนี้แล้ว หากที่ประชุมมีมติว่าเห็นชอบการศึกษาฉบับนี้ ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเดินหน้า หากรับแล้วก็คงต้องส่งให้ครม.ไปพิจารณาในรายละเอียดต่อไป ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการที่จะพิจารณาว่าโครงการพัฒนาลักษณะนี้ มีความเหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่
“เชื่อว่าทุกคนอาจจะมีความเห็นแตกต่างในเรื่องเนื้อหาของกฎหมาย และหากเป็นการเดินหน้าโดยฝ่ายบริหาร ก็ต้องส่งกลับมายังสภาฯ เพื่อพิจารณารายละเอียดของกฎหมายที่จะมาใช้ควบคุม”จุลพันธ์ กล่าว
สำหรับภาพรวม ในการอภิปรายของสมาชิก ได้แสดงความเห็นเป็น 2 แนวทาง โดย ฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ครบถ้วนของการเปิดช่องไปสู่การพนันผิดกฎหมาย ขณะที่มาตรการควบคุมหลังมีเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เพื่อไม่ให้เกิดผลในทางลบ จะต้องมีความเข้มข้น ขณะเดียวกัน สมาชิกหลายคนยังแสดงความกังวลว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ อาจเป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมาย เนื่องจากในรายงานยังไม่เห็นมาตรการที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว
โดย “เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล” สส.เลย พรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งเป็นประธานคณะกมธ.ป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และยาเสพติด สภาฯ ระบุว่า สถานการณ์ฟอกเงินในประเทศไทยขณะนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรง ขณะที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ที่กำลังศึกษา ต้องยอมรับว่ารายได้มาจากกาสิโน เงินที่จะนำมาใช้จ่าย มาจากแหล่งเงินที่ใช้จ่ายแบบผิดกฎหมายหรือไม่ ฉะนั้นจึงเป็นห่วงว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ หรือมีแหล่งรายได้จากกาสิโน จะเป็นแหล่งฟอกเงินที่สำคัญในอนาคตหรือไม่ สิ่งที่อยากเห็นคือมาตรการในการที่จะป้องกันเช่น มีการยืนยันตัวตน หรือรายงานธุรกรรมในการเอาเงินเข้ามาใช้ในกาสิโน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นหลักฐานเก็บไว้ หรือมีการรายงานธุรกรรมทางการเงิน ที่กาสิโนต้องรายงานต่อ ปปง.ในกรณีที่บุคคลใดก็แล้วแต่ ได้กำไร หรือเล่นพนันได้ในกาสิโน เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานว่า บุคคลเหล่านี้มีรายได้จากการเล่น เมื่อไหร่ และเท่าใด
เช่นเดียวกับ “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะ กมธ.วิสามัญฯ อภิปรายว่า จุดยืนพรรคก้าวไกลไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ แต่เห็นว่า วันนี้ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยสีหนุวิลล์ (กัมพูชา) แม้จะบอกว่า ไม่ใช้โมเดลดังกล่าว แต่เป็นการยึดโมเดลสิงคโปร์ หรือโอซากา ทั้งนี้เราต้องมีมาตรการในการรองรับ อาทิ มาตรการในเรื่องการป้องกันการฟอกเงิน การป้องกันธุรกิจสแกมเมอร์ หรือคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์ ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าว เมื่อพิจารณาแล้วยังขาดความสมบูรณ์อยู่มาก ทั้งนี้ในชั้น กมธ.มีการประชุมทั้งหมด 11 ครั้ง แต่เฉพาะเดือน ธ.ค.2566 มีการประชุม 0 ครั้ง ม.ค.2567 ประชุม 2 ครั้ง ก.พ.ประชุม 2 ครั้ง เราใช้วิธีการแบ่งอนุฯ แล้วให้อนุฯไปทำ แล้วกลับมารายงาน คำถามคือ เรากำลังทำเรื่องที่ใหญ่มาก แต่มีการประชุมแค่นี้ การโฟกัสรายงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราแทบทำไม่ได้เลย
ขณะเดียวกันเห็นว่า เราควรเอาเรื่องการเสียภาษีของคนไทย เป็นหนึ่งในใบเปิดทางในการเข้ากาสิโน ไม่ใช่ใช้วิธีการแค่เก็บค่าเรียกเข้า ซึ่งเป็นข้อกังวลประเด็นการติดการพนัน และกระทบสถาบันครอบครัว ซึ่งถ้าใช้วิธีนี้จะเป็นการดึงให้คนเสียภาษีเพิ่ม
ในรายงานมีการระบุว่า จังหวัดที่มีประสิทธิภาพมี 44 จังหวัด โดยที่แรก ที่จะทำคือที่ “อู่ตะเภา” รวมทั้งมีการเซ็นสัญญาระหว่างบางกลุ่มบริษัท สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ความโปร่งใสอยู่ตรงไหน เท่ากับว่า ท่านล็อกไว้แล้วหรือไม่ ว่ากาสิโนจะอยู่ภายใต้การผูกขาด หรือดูแลของใคร
ส่วน “ณณัฏฐ์ หงส์ชูเวช” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เห็นด้วยกับการเปิดสถานบันเทิงครบวางจร โดยมองว่า การเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เปิดธุรกิจกาสิโนเพียงอย่างเดียว ถือเป็นเรื่องที่ผิดฝาผิดตัว เพราะไม่ใช่การเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ดังที่ กมธ.มีการศึกษา ขณะนี้มีความเข้าใจผิดว่า การเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ คือฟรีกาสิโน ซึ่งนายจุลพันธ์ได้ชี้แจงไปแล้วว่า เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียด ส่วนข้อกังวลของสมาชิกหลายคน ว่าจะทำให้คนไทยติดการพนันเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่า ตั้งแต่การหารือในชั้น กมธ.มุ่งเป้าไปที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ มากกว่ากาสิโนเพียงอย่างเดียว โดยรายงานได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่ใช่แค่เรื่องการเปิดกาสิโน แต่กาสิโนเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เท่านั้น
ทั้งนี้ในรายงานถือว่า ครอบคลุมทั้งแนวทางการจัดระเบียบอย่างรัดกุม ทั้งคุณสมบัติผู้ประกอบการ การจัดเก็บภาษี การบรรเทาผลกระทบด้านต่างๆ ดังนั้นการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมมูลค่าทางเศรษฐกิจฐานราก การจ้างงานและการลงทุนต่อไป
ขณะที่สาระสำคัญส่วนหนึ่ง ของรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องการศึกษาเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ สำหรับ ผลกระทบในด้านลบ (ข้อควรระวัง)
1.ด้านนโยบายทางการเมือง อาจเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การกู้ยืมเงินนอกระบบ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์ ทั้งทางแรงงานและทางเพศ ตลอดจนการค้าสินค้าหนีภาษี และเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชั่น รวมถึงทำให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตของประชาชนเสื่อมโทรม เป็นต้น ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์ในการจัดเก็บรายได้ จากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว รวมถึงสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการแก้ไขฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
2.ด้านเศรษฐกิจ หากประชาชนคนไทยเข้าไปใช้บริการ ในสถานบันเทิงแบบครบวงจรจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้ไม่มีเงินหลงเหลือพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต หรือทรัพย์สินร่อยหรอลง จนเกิดเป็นปัญหาทางการเงินและการประกอบอาชีพ ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับมายังภาครัฐในการแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา หรือกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
3.ด้านสังคม หากรัฐไม่มีมาตรการควบคุมการเข้าใช้สถานบันเทิงครบวงจรและสถานกาสิโนอย่างเข้มงวดรัดกุมพอ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อสังคมได้ เช่น ปัญหาการฉ้อโกง ปล้น ลักทรัพย์ รวมถึงการก่ออาชญากรรมประเภทต่างๆ ตลอดจนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในสถาบันครอบครัว และความเสื่อมทรามทางศีลธรรมตามมาได้
4.ด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างสถานบันเทิงแบบครบวงจรและหรือกาสิโนจะต้องมีการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ จึงอาจมีผลกระทบต่อระบบนิเวศ จากการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่จะก่อสร้าง และอาจมีปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนจากการแสดงดนตรี การเปิดเพลงเสียงดังของสถานบันเทิง การรวมกลุ่มมั่วสุม การดื่มสุรา ซึ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนและความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานบันเทิงครบวงจร
5.ด้านการศึกษา สถานบันเทิงครบวงจรอาจกลายเป็นศูนย์รวมอบายมุข และแหล่งอาชญากรรม โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กและเยาวชน ที่อยู่ในวัยของการศึกษาเล่าเรียน รวมถึงผลกระทบทางอ้อมอันเนื่องจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่มีเวลาเอาใจใส่ หรือส่งเสริมสนับสนุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านความคิด อารมณ์ และการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนได้
6.ด้านศาสนา จริยธรรม และจารีตประเพณี อาจเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับประชาชน จากการเห็นคนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขในสถานบันเทิงครบวงจร หรือเล่นการพนันในกาสิโนได้มีเงินใช้จ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือยจนเกิดการเอาอย่างขึ้น รวมถึงสร้างนิสัยเกียจคร้านในกิจการงานอย่างอื่น
สำหรับค่าธรรมเนียมการเข้าใช้บริการเพื่อเป็นการป้องกันผู้มีสัญชาติไทยที่เป็นกลุ่มเปราะบางเข้าใช้บริการควรมีการเก็บภาษีการเข้าใช้บริการ โดยเก็บในอัตราที่เหมาะสมกับฐานรายได้ของคนไทย โดยตัวอย่างอัตราการเก็บในประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศสิงคโปร์จัดเก็บที่อัตรา 4,500 บาทต่อวัน ประเทศญี่ปุ่นจัดเก็บที่อัตรา 1,300 บาทต่อวัน เป็นต้น
ถ้าดู ผลกระทบด้านลบแต่ละเรื่อง ถือว่า มีความอ่อนไหวจริงๆ อาจเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การกู้ยืมเงินนอกระบบ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ โดยการแสวงหาประโยชน์ทั้งทางแรงงานและทางเพศ หากรัฐไม่มีมาตรการควบคุมการเข้าใช้สถานบันเทิงครบวงจร และสถานกาสิโนอย่างเข้มงวดรัดกุมพอ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อสังคมได้ เช่น ปัญหาการฉ้อโกง ปล้น ลักทรัพย์ รวมถึงการก่ออาชญากรรมประเภทต่างๆ ตลอดจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในสถาบันครอบครัว และความเสื่อมทรามทางศีลธรรมตามมา
นั่นหมายความ ถ้าหากรัฐบาลต้องการผลักดันอย่างเต็มสูบ คงต้องวางมาตรการในการป้องกัน ผลกระทบอย่างรัดกุม ไม่เช่นนั้นสิ่งที่วาดหวังไว้ อาจไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย แล้วผลร้ายย้อนกลับมาทำร้ายประเทศ แบบที่เราคาดไม่ถึง แม้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะออกมาให้ความเห็นว่า การที่สภาฯมีมติเห็นชอบผลการรายงานการศึกษาเปิดสถานบันเทิงครบวงจรถือเป็นก้าวหนึ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาบ่อนพนัน โดยยึดหลักความเป็นจริง เอาเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมากำกับดูแล และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง รัฐบาลไม่ได้ต้องการส่งเสริมการพนันครับ
แต่ต้องการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล และนำรายได้จากการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่มาใช้ในการพัฒนาประเทศ สร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งหลังจากนี้ ครม.จะต้องศึกษาและยื่นร่าง พ.ร.บ.ให้สภาพิจารณาต่อไป ที่ผ่านมา เราเสียเวลาและโอกาสมามากพอแล้วดังนั้น รัฐบาลจะทวงคืนเวลาที่สูญเสียไปให้กลับมาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ และพี่น้องประชาชน
เชื่อว่า นับจากนี้ไป คนในสังคมคงจับตาแนวทางการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลกระทบกับประเทศไทยเป็นเดิมพัน ถ้า “ด้านลบ” มีมากกว่า “ด้านบวก” รัฐบาลเศรษฐา ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำคงหนีความรับผิดชอบไม่พ้น
…………………………………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลึก-ลับ
โดย..“แมวสีขาว”