วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” เรือธงลำสุดท้ายของ“เพื่อไทย”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” เรือธงลำสุดท้ายของ“เพื่อไทย”

ในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐนาวา พยายามผลักดันมาตรการต่างๆ ออกมา เป็น “เรือธง” ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่ยังไม่มีมาตรการไหนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ

“นโยบายแจกเงินดิจิทัล” เป็นมาตรการระยะเฉพาะหน้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกทุกคนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 1 หมื่นบาท ต้องใช้งบกว่า 5 แสนล้านบาท ตอนนี้ยัง “พายเรือวนในอ่าง” ไปไม่ถึงไหน เริ่มถอยทีละก้าว จากเงินกู้มาแจก มาใช้เงินงบประมาณแทน ส่วนจะเป็นยังไงต่อไป 10 เม.ย.นี้คงจะรู้ว่า “หมู่หรือจ่า”

“ซอฟต์เพาเวอร์” มาตรการระยะกลาง ตั้งงบประมาณ 5 พันล้านบาท แต่มาตรการที่เป็นรูปธรรม ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไปๆ มาๆ กลับไปเน้นเรื่องการจัดงานอีเวนต์สร้างภาพเป็นหลัก

นโยบายระยะยาวอย่าง “แลนด์บลิดจ์” เชื่อมชุมพร-ระนอง ที่ไปหยิบโครงการของรัฐบาลที่แล้วมาปัดฝุ่น ก็ได้แต่ไปเร่ขายฝันให้นักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่ามีใครสนใจมาลงทุนบ้าง

ล่าสุด รัฐบาลเพื่อไทยทิ้งไพ่ใบสุดท้าย เข็นเรือธงลำใหม่ ผลักดันโครงการ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” หรือ “สถานบันเทิงครบวงจร” เที่ยวนี้นับว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียว เพราะเสียงค้านค่อนข้างแผ่ว อีกทั้งการใช้คำว่า “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” โดยอำพรางว่า ไม่ใช่มีแค่บ่อนการพนัน แต่ยังมีเรื่องของการบันเทิงต่างๆ มากมาย จึงทำให้ดูเบาลง

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพรรคเพื่อไทย หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ก็ปั๊มเศรษฐกิจด้วยนโยบายเอา “หวยใต้ดิน” ขึ้นมาอยู่ “บนดิน” ก็เคยทำมาแล้ว ความพยายามผลักดัน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จึงไม่ใช่ยากแต่อย่างใด ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้าน กระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ

ประกอบกับ รายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เข้ามาสนับสนุน ยิ่งทำให้มีน้ำหนัก โดยอ้างอิงกรณีการเปิดกาสิโนในสิงคโปร์ ระบุว่า ก่อนเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย จากการคำนวณเบื้องต้นพบว่าก่อนปี 2009 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายในการเยี่ยมชมสถานที่และความบันเทิงต่อคนประมาณ 51 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1,340 บาท)

แต่เมื่อมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายในหมวดนี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 841 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 22,300 บาท) หรืออาจอนุมานได้จากนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 22,300 บาทต่อคน

ในรายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า เมื่อนำมาประยุกต์กับกรณีประเทศไทย ค่าใช้จ่ายปกติ และการเข้า “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” เมื่อคำนวณรวมกับค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวปี 2566 อยู่ที่ 42,750บาท/คน/ทริป ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะมีการใช้จ่ายประมาณ 65,050 บาท/คน/ทริป

“โมเดลสิงคโปร์” เป็นโมเดลที่ไทยจะนำมาปรับใช้เป็นต้นแบบ แต่ไทยยังมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่แตกต่างจากสิงคโปร์ ที่มีความพร้อมมากกว่าไทยหลายๆ ด้าน ที่เป็นทั้งศูนย์การเงินและศูนย์โทรคมนาคมของภูมิภาค อีกอย่างสิงคโปร์ตั้งมานาน จนเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของนักเสี่ยงโชค แต่ไทยมาทีหลัง การจะไปแข่ง หรือแย่งลูกค้าจากสิงคโปร์คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แม้แต่แหล่งกาสิโนใหญ่ที่เป็นคู่แข่งสิงคโปร์ อย่าง “มาเก๊า” ตอนนี้ยังต้องปรับตัว ลดการพึ่งพารายได้จากการพนัน ไม่ได้อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อีกทั้งรอบๆ บ้านเรา ประเทศเพื่อนบ้านผุดกาสิโนขนาดใหญ่ราว 22 แห่ง การไปแย่งชิงนักพนันจากเพื่อนบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นกัน

ส่วน สถานที่ตั้ง คาดว่าจะประเดิมที่แรกในโซนภาคตะวันนออก บริเวณพื้นที่ของ EEC อาจจะต้องใช้ที่ดินขนาดใหญ่ประมาณ 3,000 ไร่ ภายใน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ประกอบด้วย ศูนย์การจัดแสดงโชว์ ร้านอาหาร ร่วมกับกาสิโน สถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ผู้ได้สัมปทานจะต้องนำส่งรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้กับรัฐในรูปภาษี ‘กาสิโน’ ในอัตรา 17% จากเงินวางเดิมพัน ขณะที่จะมีการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราก้าวหน้า 20-30%

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจะผลักดัน “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จริงๆ จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับและต้องเข้มข้น การปฏิบัติต้องจริงจัง เพื่อรับมือกับสิ่งผิดกฏหมาย เช่น การฟอกเงิน การป้องกันสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การป้องกันการค้ามนุษย์การฟอกเงินของผู้ค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ การคอรัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่าจะมีมาตรการอย่างไร

ที่สำคัญหาก “กาสิโน” แห่งแรก ผุดขึ้นได้สำเร็จ จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจนว่า จะมีการทยอยเปิดแห่งที่ 2 แห่งที่ 3 ตามมา เพราะตามแผน ได้ตั้งเป้าจะเปิดให้ครบทั่วทุกภาคของประเทศ ประมาณ 5-8 แห่ง

ตรงนี้แหละที่คนไทยทุกคนต้องจับตาดูให้ดีว่า โปรเจ็กต์นี้จะเอื้อประโยชน์ให้กับ “กลุ่มทุนการเมืองกลุ่มไหน” ใครจะคว้าสัมปทานไปได้ เพราะนี่คือ “ขุมทรัพย์ใหม่” ที่กลุ่มทุนและนักการเมืองจับจ้อง

ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดว่า “เรือธง” ลำนี้ จะปั้ม “จีดีพี” ให้ประเทศ หรือ “จีดีพี” จะตกอยู่ในกระเป๋าใคร???

………………………………………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย….“ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img