วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSปิดฉาก“บิ๊กโจ๊ก”...ชั่วคราวหรือถาวร เสี่ยงพักราชการ-หมดลุ้นชิง“ผบ.ตร.”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ปิดฉาก“บิ๊กโจ๊ก”…ชั่วคราวหรือถาวร เสี่ยงพักราชการ-หมดลุ้นชิง“ผบ.ตร.”

นับตั้งแต่ถูกย้ายมาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมกับ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ดูเหมือนเรื่องราวต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จะหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขึ้นอาจต้องถูกสั่งพักราชการในเร็วๆ นี้

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” อดีตรอง ผบ.ตร. หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงนามแต่งตั้ง โดยมี 1.“ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการ 2.“ชาติพงษ์ จีระพันธุ” อดีตรองอัยการสูงสุด กรรมการ และ 3.“พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” เป็นกรรมการ และเลขานุการ ออกมาแถลงข่าวเป็นครั้งแรก โดยเนื้อหาพุ่งเป้าไปที่ “บิ๊กโจ๊ก” เต็มๆ

โดย “พล.ต.อ.วินัย” ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งพยานหลักฐาน และสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกือบ 30 คน ทางคณะกรรมการมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับศาล เชื่อว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” มีส่วนร่วมในการกระทำผิดจริง โดยเป็นการฟอกเงิน ที่พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันออนไลน์มายังบัญชีม้าและเชื่อมโยงมายัง “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” จึงเชื่อว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” รู้และได้รับประโยชน์บางส่วนจากการกระทำดังกล่าว แต่ยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีก

พล.ต.อ.วินัย กล่าวอีกว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการนั้น มีผลออกมาก่อนที่ศาลจะออกหมายจับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” โดยหากข้อมูลว่า ฝั่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ก็จะทยอยส่งให้นายกฯพิจารณา โดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฝั่ง “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” เนื่องจากหากไม่ทันกำหนดภายใน 60 วัน ก็สามารถขยายระยะเวลาต่อไปได้ แต่ยืนยันว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

พล.ต.อ.วินัย ทองสอง

“ยืนยันว่า คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจในการตรวจสอบ ทั้งข้าราชการและบุคคลทั่วไป ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในชั้นศาลในอนาคต แต่หากภายหลังเกิดกรณีศาลมีคำพิพากษาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งขัดกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการจะถือเป็นปัญหาหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต เพราะแม้ว่าศาลจะชี้ว่าไม่ผิดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นจะไม่ผิด เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน หากอนาคต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะฟ้องกลับคณะกรรมการชุดนี้ก็ไม่กังวล และรู้สึกยินดี” พล.ต.อ.วินัย กล่าวและทิ้งท้ายไว้ว่า คณะกรรมการชุดนี้จะพยายาม ฟื้นความศรัทธา ให้กับ องค์กรตำรวจ ด้วยการทำงานอย่างตรงไปตรงมา

อย่าลืมว่า คณะกรรมการฯชุดนี้ “หัวหน้ารัฐบาล” เป็นคนลงนามแต่งตั้ง ย่อมต้องให้น้ำหนักในการตรวจสอบมากพอสมควร หากมีการส่งเรื่องให้นายกฯพิจารณา ในฐานะที่ดูแลตร. จะสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งไปยัง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพชร” รักษาราชการแทน ผบ.ตร. โดยเฉพาะการสั่งพักราชการ รองผบ.ตร. เนื่องจากมีคดีความติดตัว

ก่อนหน้านั้น ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ตามคำของพนักงานสอบสวนในคดีเว็บพนันบีเอ็นเคมาสตอร์ โดยระบุตอนหนึ่งว่า พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนในคดีดำเนินการรวบรวมมาเสนอต่อศาล “แน่นหนาเพียงพอ” และเป็นสิ่งที่พนักงานสอบสวนในคดีนี้ สามารถดำเนินการได้ ประกอบกับพฤติการณ์ของผู้ต้องหาในคดี “มีความพยายามในการหลบเลี่ยง การแสดงตัวกับพนักงานสอบสวน หลังจากพนักงานสอบสวนมีการอนุมัติหมายเรียกถึงสามครั้ง โดยคดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญา” จึงเป็นสาเหตุ ให้มีคำสั่งอนุมัติหมายจับ

สำหรับ ข้อหาที่ถูกออกหมายจับก็คือ สมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 10

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพชร

ด้าน “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ในฐานะรรท.ผบ.ตร. กล่าวภายหลังเข้าพบ “นายกฯเศรษฐา” หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ “บิ๊กโจ๊ก” ว่า มารายงานเรื่องของขั้นตอน และกระบวนการที่จะพิจารณากรณีตำรวจออกหมายจับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ส่วนจำเป็นต้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่ ทุกอย่างมีกระบวนการ มีกฎหมายระเบียบ และคำสั่งในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติ

โดยแยกเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ก่อน โดย “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯ เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของนายกฯ แต่ในคำสั่งระบุไว้ชัดเจนว่า การรับเงินเดือน เงินพิเศษ เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโชยน์ต่างๆ ให้รับจากต้นสังกัด ตนยังเป็นผู้บังคับบัญชา “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ตามกฎหมาย การพิจารณาเรื่องของวินัย เป็นหน้าที่ของตน ตามมาตรา 105 กฎหมายตำรวจ

ทั้งนี้ตามขั้นตอนต้องได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนของนครบาล 1 ฉบับ แต่ยังไม่มีการรายงานมา ส่วนอีกฉบับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” จะต้องรายงานเรื่องที่ต้องคดี เป็นไปตามระเบียบตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ขณะเดียวกันกองวินัย จะต้องรายงานผล โดยนำรายงานทั้ง 2 ทาง ประกอบด้วย เหตุพฤติการณ์ ความรุนแรงแห่งคดี นำมาประกอบการพิจารณาในฐานะฝ่ายอำนวยการให้ “รรท. ผบ.ตร.” ได้พิจารณาว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำผิดวินัย ก็เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ต้องพิจารณาว่า ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงหรือไม่

ในขั้นตอนการสืบสวนข้อเท็จจริง จะยังไม่มีการพิจารณาเรื่องพักราชการ ออกราชการ หรือสำรองราชการไว้ก่อน อยู่ภายใต้กฎ ก.ตร.ที่กำหนดไว้ การสืบสวนของเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะต้องใช้ระดับไม่ต่ำกว่ายศ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์”

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า หากการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง จึงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง ซึ่งในขั้นตอนนั้นก็จะมีการใช้การพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขในกฎ ก.ตร. หรือไม่ เข้าองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตำรวจปี 2565 ในมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งมีการกำหนดไว้อยู่แล้ว ทั้งหมดนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง อยากให้ทุกคนแยกออกระหว่างเรื่องของอาญากับเรื่องวินัย  

เชื่อว่าอีกไม่นาน “บช.น.” ในฐานะที่เป็นคนที่ควบคุมการทำงานของพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันบีเอ็นเคมาสตอร์  ต้องทำเรื่องเสนอมายัง “รรท.ผบ.ตร.” ถึงรายละเอียดต่างๆ ในคดี จากนั้นคงมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องใช้นายตำรวจระดับไม่ต่ำกว่ายศ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” หากการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง จึงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง อย่าลืม “ศาลอาญา” ระบุในการออกหมายจับ พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวน ในคดีดำเนินการรวบรวมมาเสนอต่อศาล “แน่นหนาเพียงพอ”

อย่างไรก็ตาม ตามหลักการบริหารของ ตร. เมื่อมีนายตำรวจต้องคดีอาญาร้ายแรง จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย สอบให้รู้ผลภายใน 30 วัน หากพบว่าอยู่ในตำแหน่งไป ก็สร้างความเสื่อมเสียให้กับ ตร. ซึ่งโดยทั่วไปก็จะมี “คำสั่งให้พักราชการ” หรือ “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” เพื่อรอผลได้ โดยยังคงได้รับเงินเดือน มีเบี้ยหวัดบำนาญตามเดิม

ที่ผ่านมา “บิ๊กโจ๊ก” ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านความมั่นคง ก็สนองนโยบายรัฐบาลอย่างเต็มที่ คอยดูแลกลุ่มมวลชนต่างที่ปักหลักชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล อีกทั้งยังได้รับความเอ็นดูจาก “คุณหญิงพจมาณ ดามาพงศ์” อดีตภริยาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะ “ดต.ไสว หักพาล” บิดาของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนขับรถคอยติดตาม “พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์” อดีตผช.ผบ.ตร. ซึ่งเป็นบิดาของคุณหญิงพจมาน

ขณะที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” กล่าวภายหลังเดินทางเข้ามอบตัวตามข้อกล่าวหาที่ สน.เตาปูนว่า “ขอไม่พูดรายละเอียด ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ได้ประกันตัวตามปกติ วันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการกล่าวหาตามหลักกระบวนการยุติธรรมไทย ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และก่อนหน้านี้ ถูกออกหมายเรียกมาหลายครั้ง วันนี้ถูกศาลออกหมายจับก็ต้องยอมรับ และต่อสู้ตามกระบวนการ”

นิวัติไชย เกษมมงคล

ก่อนหน้านั้น “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมากรับเรื่องกล่าวหา “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผบ.ตร. กับพวกรวม 5 คน กรณีเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ (มินนี่) เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสูงกว่าอำนวยการระดับสูงหรือเทียบเท่า และพฤติการณ์มีการได้รับผลประโยชน์เป็นเงินจำนวนมาก 

อีกทั้งเป็นเรื่องที่สำคัญ อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป อันเข้าลักษณะเป็นความผิดร้ายแรงหรือเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางไว้ดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติประกอบ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ประกอบกับสำนวนการสอบสวนคดี “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย” รองผบก.สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 กับพวก เป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน 

ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 234 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 61 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ.2561 ข้อ 29 วรรคสอง จึงให้เรียกสำนวนการสอบสวนเรื่องกล่าวหา “พ.ต.อ.ภาคภูมิ” และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคืนมา เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป 

นั่นหมายความว่า ขณะนี้ “บิ๊กโจ๊ก” มี 2 สำนวนที่ต้องต่อสู้คดี หนึ่งคือ “คดีเว็บไซต์มินนี่” อยู่ในกระบวนการสอบสวนของป.ป.ช. ซึ่งต้องใช้เวลาในการสอบสวนพอสมควร ส่วน คดีที่สอง เกี่ยวข้องกับ “คดีเว็บไซต์บีเอ็นเคมาสเตอร์” อยู่ในความรับผิดชอบของบช.น. ซึ่งคงต้องลุ้นว่า ในที่สุดบทสรุปของคดีจะเป็นอย่างไร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.

แต่ที่แน่ๆ คือการลุ้นชิงเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ในปีนี้ของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” แทบจะหมดโอกาส เพราะในเมื่อคดีความติดตัวอยู่ ก็คงขาดความสง่างาม หากจะมีการนำเสนอรายชื่อให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาจึงจำเป็นต้องเคลียร์คดีความให้จบสิ้นก่อน ซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีอายุราชการเหลืออีก 7 ปี ยังมีสิทธิ์ลุ้นตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากี”

แต่มาถึงวันนี้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” คงต้องวัดใจ “ผู้บังคับบัญชา” จะใช้ “ยาแรง” ถึงขั้น “พักราชการ” หรือ “ให้ออกจากราชการ” ไว้ก่อนหรือไม่

ถ้าถึงขั้นนั้น ต้องบอกว่า วิบากกรรมที่ “บิ๊กโจ๊ก” เผชิญ ถือว่าแรงกว่าเมื่อปี 62 ซึ่งถูกย้ายเข้ามาประจำสำนักนายกฯ แต่ในที่สุดก็มีโอกาส กลับมาเติบโตใน ตร. จนได้เป็นถึง “รองผบ.ตร.” เพราะไม่มีคดีความเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ครั้งนี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้น บทสรุปสุดท้ายอาจจบไม่เหมือนกัน

……………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img