“หมอธีระวัฒน์” แนะวิธีตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด ควรใช้วิธีเจาะเลือดที่ปลายนิ้วหาเชื้อ ถ้าพบว่าติดเชื้อ ค่อยส่งตรวจด้วยวิธีแยงจมูก จะลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าตรวจหาเชื้อด้วยวิธีแยงจมูกอย่างเดียว เพราะจะทำให้งบประมาณบานปลาย
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.64 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha”…การคัดกรองที่เข้าถึงได้ทุกคน Rapid test ที่ดี (ไม่ใช่ชุดที่ ทางการอนุมัติ) เป็นทางออก แนะนำตั้งแต่ มีนาคม 2563
การคัดกรองว่ามีใครติดเชื้อหรือไม่ เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่จะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและหยุดการระบาดให้ได้เพื่อทำให้เศรษฐกิจไม่ล่มจม ทั้งนี้เนื่องจากการแพร่เชื้อที่สำคัญจะมาจากคนที่ไม่มีอาการแทบทั้งสิ้น
การคัดกรองด้วยวิธีการหาเชื้อแยงจมูก ด้วยกระบวนการพีซีอาร์ ไม่สามารถระบุได้จากการตรวจเพียงครั้งเดียวและต้องการการตรวจซ้ำสองถึงสามครั้ง ทำให้งบประมาณบานปลายและการปฏิบัติยังทำได้ยากและเกิดความล่าช้าและความเสี่ยงทั้งผู้ปฏิบัติงานและในห้อง แลป มิหนำซ้ำมีการนำน้ำลายซึ่งบางตัวอย่างข้นเหนียวมาทำ โดยความไวไม่ดี คือมีเขื้อแต่ตรวจไม่เจอ จนถึงเอา 5 ตัวอย่างมารวมกันตรวจครั้งเดียว ยิ่งอันตรายมากขึ้น
การตรวจคัดกรองและสามารถวินิจฉัยได้ด้วยความแม่นยำและความไว 100% สามารถกระทำได้โดยการตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้บอกว่าเกิดการติดเชื้อขึ้นแล้วและสามารถกระทำได้ทั้งในคนที่มีและไม่มีอาการก็ตาม
สำหรับคนที่มีอาการรายงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร PlosONe และสำหรับคนที่ไม่มีอาการนั้น ล่าสุดจากกรณีของการระบาดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปรียบเทียบคนที่ไม่มีอาการ 55 รายที่ปล่อยเชื้อได้จากการตรวจด้วยกระบวนการพีซีอาร์ พบว่าการตรวจเลือดสามารถระบุได้ 100% เป็นการยืนยันข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ทดสอบในปี 2563 และตรวจในพื้นที่ต่างๆ รวมเป็นหมื่นราย
การตรวจคัดกรองเชิงรุกประกอบด้วย
1-การตรวจเลือดต้องทำทุกคน
2-วิธีการตรวจด้วยชุดการตรวจมาตรฐาน Elisa เช่นของศูนย์ปฏิบัติการโรคอุบัติใหม่สภากาชาดไทยจุฬา ซึ่งยืนยันความไวและความจำเพาะแล้ว และเป็นวิธีเดียวกันกับที่ US FDA ให้การรับรองในการใช้ตรวจ ยี่ห้อ genscript Cpass
3-การตรวจที่สมบูรณ์จะเป็นการตรวจ IgM IgG และภูมิที่ยับยั้งไวรัสได้หรือที่เรียกว่า Neutralizing antibody (NT) ราคา 1,000 บาท แต่ขั้นตอนในการคัดกรองสามารถตรวจแต่ IgM IgG ได้ ราคา 400 บาท
4-เมื่อได้ผลเป็นบวกไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่ง ต้องทำการคัดแยกตัวทันที และปฏิบัติการตรวจต่อว่าแพร่เชื้อได้หรือไม่ ด้วยกระบวนการพีซีอาร์ ซึ่งต้องตรวจอย่างน้อยที่สุดสองครั้ง
5-ในคนที่เลือดเป็นบวกและพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเชื้อปล่อยออกมาดังข้อสี่ จึงสามารถปล่อยจากการกักตัวได้ กระบวนการเหล่านี้ถือว่าเป็นบับเบิล แอนด์ ซีล จนกระทั่งสามารถปล่อยตัวออกมาสู่สังคมได้
6-กระบวนการสุดท้ายคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดกรองจากการครวจเลือดด้วย Elisa ที่ต้องส่งเลือดมายังห้องปฏิบัติการและใช้เวลา 3 ชั่วโมงเป็นการตรวจด้วยการเจาะเลือดปลายนิ้วและหาภูมิคุ้มกัน หรือ rapid test
7-ชุดการเจาะเลือดปลายนิ้ว ต้องมีคุณสมบัติของการคัดกรองที่สมบูรณ์คือมีความไว 100% นั่นคือคนที่ติดเชื้อทุกรายจะต้องมีผลบวกทั้งสิ้น แต่แน่นอนจะมีผล +เกินในระดับที่รับได้ คือประมาณสองถึง 5% ทั้งนี้จุดเด่นก็คือประชาชนทุกคนเข้าถึงได้สถานบริการสถานที่ที่ต้องมีคนใช้ประกอบกิจกรรม แม้กระทั่งโรงเรียนสถานศึกษานำไปใช้ได้ และคนไทยทุกคนสามารถประเมินตนเองได้
8-การตรวจเลือดไม่ว่าจะเป็นการตรวจแบบมาตรฐาน elisa หรือการตรวจปลายนิ้วในคนที่มีกิจกรรมตลอดเวลา ไปทำงานขึ้นรถสาธารณะ มีโอกาสรับเชื้อและแพร่เชื้อจะต้องทำการตรวจทุกเจ็ดวัน ทั้งนี้เนื่องจากว่าการติดเชื้อในสี่ถึงห้าวัน การตรวจเลือดจะไม่เป็นบวกและการตรวจหาเชื้อไม่เป็นบวกเช่นกัน
รูปแสดงการใช้ rapid test ในการคัดกรองที่ทำเนียบ และรวดเร็ว ประหยัด ถ้าบวกแยกตัวและยืนยันต่อ