ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ ที่ระดับ 36.78 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ตลาดรอรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน-จับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อดอกเบี้ยนโยบาย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.78 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทโดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.70-36.85 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ) ออกมาบ้าง
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างยังคงต้องการซื้อทองคำอยู่ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนแรง รวมถึง ความต้องการถือทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.85-36.90 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวไปได้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังร้อนแรงอยู่และรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.58%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.06% หนุนโดยความหวังการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่อาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายน รวมถึง รายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดของทั้ง LVMH +2.8% และ Adidas +8.6% อย่างไรก็ดี รายงานผลประกอบการของบริษัทเทคฯใหญ่ อย่าง ASML -6.7% ที่ออกมาน่าผิดหวัง ก็กดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้มาก
ด้านตลาดบอนด์น้้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 4.60% ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวย่อตัวลงบ้าง ทั้งนี้ ในระยะสั้น เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจยังคงแกว่งตัว sideways ในโซน 4.50%-4.60% จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และที่สำคัญเราคงย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาว อย่างบอนด์ 10 ปีสหรัฐฯยังมีความน่าสนใจ และ Risk-Reward มีความคุ้มค่ามากขึ้น หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.50% เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อสะสมได้ (Buy on Dip)
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงเล็กน้อยใกล้ระดับ 106 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.9-106.3 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯจะย่อตัวลงบ้าง แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ก็ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงทยอยขายทำกำไรทองคำในช่วงโซน 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซน 2,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่าผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่เคยให้มุมมองเชิง Neutral หรือ Dovish ต่อทิศทางนโยบายการเงิน ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังออกมาดีกว่าคาดและอัตราเงินเฟ้อก็ดูจะชะลอตัวลงช้ากว่าที่เฟดเคยประเมินไว้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ ทั้งความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ซึ่งจะคลี่คลายลงได้ เมื่อตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ที่ต้องสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจมากขึ้น) รวมถึงความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจาก แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ และโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง หลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซน 36.80-36.85 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออก ก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงโซน 36.85-36.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวไปได้ จนกว่าจะมีปัจจัยกดดันใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้มองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดค่าเงิน เพื่อหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยเราคาดว่า โซนที่ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงอาจอยู่ในช่วง 155 เยนต่อดอลลาร์ แต่จะขึ้นกับโมเมนตัมของเงินดอลลาร์และภาวะตลาดการเงิน ว่าจะเอื้ออำนวยให้ทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงหรือไม่ และคาดว่า การเข้าแทรกแซงดังกล่าว หากเกิดขึ้นได้จริง ก็สามารถส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่น พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เร็วและแรง กลับสู่โซน 150-151 เยนต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก (เงินเยนแข็งค่าหลุด 152 เยนต่อดอลลาร์ อาจเกิด stop loss บางส่วน ในฝั่งผู้เล่นที่มีสถานะ Short JPY หรือมองเงินเยนอ่อนค่า)
อย่่างไรก็ตาม เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.90 บาทต่อดอลลาร์