“สภาหอการค้าไทย-สภาอุตสาหกรรมฯ” ขานรับการปรับครม. “เศรษฐา 2” ชี้มีรัฐมนตรีเข้าใจภาคเอกชนและมีประสบการณ์บริหาร เชื่อจะช่วยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้
นายสนั่น อุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการปรับ ครม.ว่า การนำบุคคลผู้มีความรู้ด้านเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มถือว่าเหมาะสม ซึ่งการปรับ ครม.ครั้งนี้มีรัฐมนตรีที่เข้าใจภาคเอกชน และมีประสบการณ์การบริหารงาน จึงเชื่อว่าจะช่วยรัฐบาลออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าอย่างเต็มที่ คือ การเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติออกมาทุกกระทรวง
สำหรับสิ่งที่หอการค้ามอง คือ การช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงเงินทุน รวมถึงเร่งเจรจาความร่วมมือการค้าระหว่างประเทศ และดึงดูดการลงทุน สร้างความชัดเจนของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เสริมกับการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรหลักในการดันเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ และเป็นเรื่องที่น่าจะดำเนินการเร่งด่วน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึง กรณีที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีได้ยื่นหนังสือลาออกต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.2567 ว่า กระทรวงการต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจโดยเฉพาะต่างประเทศ ซึ่งนายปานปรีย์ ก็ได้อธิบายในจดหมายลาออกว่าได้ทำอะไรบ้าง ก็คงจะกระทบในช่วงสั้นบ้าง
โดยการลาออกดังกล่าว ถือว่าสร้างความตกใจและประหลาดใจมาก ดังนั้นรัฐบาลอาจจะมีการเจรจ โดยหาคนกลางเพื่อปรับความเข้าใจสอบถามถึงความไม่สบายใจหรืออาจจะต้องหาคนมาแทน ดังนั้น จะต้องดูว่าใครจะมาทำหน้าที่แทน เป็นคนที่มีความสามารถมากน้อยแค่ไหน และมีความเหมาะสมหรือไม่
สำหรับ ครม.เศรษฐา 2 ที่ออกมาถือเป็นการปรับให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะระยะต่อไปที่รัฐบาลจะเข้าโหมดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะงบประมาณค้างท่อและล่าช้ากว่า 8 เดือน จะได้รับการอนุมัติ รวมถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลเร่งเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายประชาชนช่วงปลายปี 2567
ทั้งนี้หากดูการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ถือว่ามีทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมขับเคลื่อนนโยบาย จึงคิดว่าจากนี้ไปนายกรัฐมนตรี จะเน้นนโยบายเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
นอกจากนี้ จากกรณีที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรี เชิญ CEO ธนาคารใหญ่ 4 แห่ง หารือและขอความร่วมมือลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เอสเอ็มอี โดยมุ่งเป้าที่กลุ่มเปราะบางที่ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วง 6 แรกก่อน ซึ่งช่วยลดภาระลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้ทำธุรกิจต่อได้ในช่วงที่ให้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมการไว้จะทยอยออกมาตามกรอบระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด
ภาคเอกชนต้องขอชื่นชมและขอขอบคุณนายกฯ ที่ให้ความสำคัญ เช่น นโยบายลดดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงดอกเบี้ย แต่นายกฯ แก้ปัญหาโดยเชิญนายแบงก์ใหญ่มานำร่องช่วยกลุ่มเปราะบางและเอสเอ็มอีที่กำลังอ่อนแรงให้มีกำลังดำเนินธุรกิจต่ออย่างน้อยช่วยต่อเวลาให้เพื่อรอจนนโยบายภาครัฐ ถือว่านายกฯ วางแนวทางบริหารเป็นขั้นเป็นตอนไว้ดี