“หอการค้า” เผยพลโพลบอลยูโรเงินสะพัด 8.7 หมื่นล้าน คาดการเล่นพนันบอลสูงถึง 6.7 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 17% สูงสุดในรอบ 16 ปี
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงมหกรรมฟุตบอลยูโร 2024ว่า คาดว่าจะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 87,620.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.0% เมื่อเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งก่อน โดยเป็น การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ 20,575.71 เพิ่มขึ้น 5.1% และการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจ (พนันบอล) 67,044.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.10%
สำหรับการใช้จ่ายปีนี้ถือว่าคึกคัก เพราะการถ่ายทอดสดทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เช่น การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ร้านอาหารที่ไปนั่งเชียร์บอล จะเห็นว่าควรเริ่มกลับมาเชียร์บอลตามปกติแล้ว ซึ่งเห็นได้จากเม็ดเงินการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจครั้งนี้ที่สูงกว่า 2 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 8 ปี แต่ที่เติบโตโดดเด่นที่สุด คือเม็ดเงินการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจหรือเงินพนันบอล ที่พุ่งสูงถึง 67,044.32 ล้านบาท สูงสุดในรอบ16 ปี ทำให้ธุรกิจการพนันบอลยูโรครั้งนี้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
“การใช้จ่ายมากที่สุดคือการซื้ออาหารและเครื่องดื่ม ประมาณ 3,700 บาทต่อคน การทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านอาหารประมาณ 4,497 บาทต่อคน และการซื้อสินค้าของที่ระลึกทีมบอล 2,475 บาทต่อคน โดยส่วนใหญ่ราว 70% บอกว่าใช้จ่ายมากขึ้นกว่าฟุตบอลยูโรครั้งก่อน”นายธนวรรธน์ กล่าวและว่า นอกจากนี้พบว่าพฤติกรรมการเล่นพนันบอลเพิ่มสูงขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่าง 35.6% บอกว่าตัวเองจะเล่นพนันบอล ส่วนใหญ่พนันเป็นเงินสด โดยเฉลี่ยใช้เงินกว่า 2,000 บาทต่อนัด หรือเฉลี่ยคนละ 23,574 บาทตลอดฤดูกาล
สำหรับรูปแบบในการเล่นพนันบอลนั้น 58.5% พนันด้วยเงินสด สัดส่วน 21.5% พนันด้วยอาหาร และ 20% พนันด้วยสิ่งของ ส่วนแหล่งที่มาของเงินที่ใช้จ่ายค่าพนันบอล ส่วนใหญ่ 51.8% ใช้เงินเดือนและรายได้ปกติ สัดส่วน 38.7% ใช้เงินออม 4.7% ใช้เงินจากผู้ปกครอง 4.4% ใช้เงินโบนัส และ 0.4% ใช้เงินกู้ยืม
สาหตุที่ทำให้มีการพนัน เดิมพันฟุตบอลยูโรนั้นผู้ตอบ 47.1% ตอบว่าเพื่อความสนุก, 44.7% หวังรางวัลจากการพนันสัดส่วน 6.3% เพื่อชวนเล่น สัดส่วน 1.4% เป็นแฟชั่น และ 0.2% อื่นๆ
สำหรับทีมที่คนไทยส่วนใหญ่เชียร์ 5 อันดับแรก คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส โปรตุเกส และอิตาลี ส่วนทีมที่คาดว่าจะได้แชมป์ 5 อันดับแรก คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน และอิตาลี
