“พาณิชย์” โชว์ตัวเลขส่งออกเดือน พ.ค.มูลค่า 26,219 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 14 เดือน หลังเศรษฐกิจโลกฟื้น ด้านดุลการค้ากลับมาเกินดุลในรอบ 5 เดือน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน พ.ค.2567 มีมูลค่า 26,219.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.2% โดยมูลค่าสูงสุดในรอบ 14 เดือน ให้ดุลการค้ากลับมาเกินดุลในรอบ 5 เดือน และขยายตัวเป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 6.5 % ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 25,563.3 ล้าน ติดลบ 1.7 % ดุลการค้า เกินดุล 656.1 ล้านดอลลาร์ รวม 5 เดือน ของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออก มูลค่า 120,954.1 ล้าน เพิ่มขึ้น 2.6% การนำเข้า มูลค่า 125,954.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.5% ขาดดุลการค้า 5,460.7 ล้านดอลลาร์
การส่งออกของไทยที่ขยายตัวได้รับแรงหนุนสำคัญจากการส่งออกสินค้าเกษตร เนื่องจากเป็นเดือนที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาคการผลิตของโลกฟื้นตัวได้ดี สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโลก (Global PMI) ที่มีทิศทางขยายตัวเร่งขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการส่งออกในเดือน พ.ค.ที่ขยายตัว 7.2 % มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ที่ขยายตัว 19.4 % เป็นเดือนที่ 2 โดยสินค้าสินค้าเกษตร กลับมาขยายตัวถึง 36.5 % และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 0.8 % ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัว128.0 % กลับมาขยายตัวในรอบ 4 เดือน ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง ไก่แปรรูป ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลไม้กระป๋องและแปร สิ่งปรุงรส และ นมและผลิตภัณฑ์นม
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.7 %
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 4.6 % โดยมีสินค้าสำคัญขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 2.4 %
ทางด้านตลาดตลาดส่งออกสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่มีทิศทางดีขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก โดยตลาดหลัก ขยายตัว 8.0 % ขยายตัวในสหรัฐฯ 9.1 % CLMV 9.6 % จีน 31.2 % แต่ตลาดอาเซียน (5) ติดลบ 0.6 % สหภาพยุโรป (27) 5.4 % ญี่ปุ่น 1.0 % ส่วน ตลาดรอง ขยายตัว 5.1 % โดยขยายตัวตลาดเอเชียใต้ 22.4 % ลาตินอเมริกา 14.8 % รัสเซียและกลุ่ม CIS 2.7 % ขณะที่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 1.4 % ตะวันออกกลาง 8.1% และแอฟริกา 19.0 %สหราชอาณาจักร 1.5 (3) % ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ขยายตัว 11.5 %อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 28.1%
“ในเดือนพ.ค.นี้ ไทยกลับมาเกินดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลัก ๆ มาจากมูลค่านำเข้ารถ EV ลดลง จึงทำให้มูลค่าการนำเข้าโดยรวมของเดือนพ.ค.นี้ลดลง นอกจากนี้เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ พลิกกลับมาเป็นบวกสูงถึง 128% โดยในนี้เป็นการส่งออก ทุเรียน 83,059.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% แสดงให้เห็นว่า ทุเรียนของไทยยังส่งออกได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีน หลังจากที่ลดลงช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้า เพราะผลผลิตปีนี้ออกล่าช้า แต่พอเดือน พ.ค. ผลผลิตมีเต็มที่ ทำให้ส่งออกได้มากขึ้น และคาดว่าเดือนต่อ ๆ ไปก็จะส่งออกได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีทุเรียนภาคใต้ ที่จะเข้ามาเสริม ทำให้มั่นใจว่าไทยยังคงเป็นแชมป์ส่งออกไปจีนเหนือคู่แข่งแน่นอน ”
สำหรับ แนวโน้มการส่งออกในเดือน มิ.ย.คาดว่าน่าจะเป็นบวกต่อเนื่อง และในครึ่งปีแรกคาดว่าจะเป็นบวก ส่วนแนวโน้มการส่งออกในครึ่งปีหลังคาดว่า จะยังเติบโตได้ดีโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ช้าแต่มั่นคง โดยการประเมินขององค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่าปริมาณการค้าโลกจะขยายตัว 2.6 % จากปีก่อนหน้า จากปัญหาเงินเฟ้อที่บรรเทาเบาบางลง และท่าทีของธนาคารกลางแต่ละประเทศที่มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและการผลิตโลกให้ฟื้นตัวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในบางเส้นทาง อาจเป็นปัจจัยลบต่อการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งของแต่ละประเทศยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลต่อนโยบายการค้าที่มีต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยด้วย ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าการส่งออกทั้งปีไว้ที่ 1-2 %