วันศุกร์, ตุลาคม 18, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight"สุรพงษ์" ยันแบรนด์ฮอนด้าไม่ล้ม หลังย้ายฐานผลิตไปจ.ปราจีนบุรี
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สุรพงษ์” ยันแบรนด์ฮอนด้าไม่ล้ม หลังย้ายฐานผลิตไปจ.ปราจีนบุรี

“สุรพงษ์” ยันฮอนด้า ย้ายไลน์ผลิตรถยนต์ไปจ.ปราจีนบุรี เพื่อใช้เทคโนโลยีการผลิตตามเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไปเหมือนกับค่ายรถยนต์ของจีน และสหรัฐฯ ย้ำแบรนด์ไม่ล้ม


นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแผนการดำเนินธุรกิจในไทยโดยย้ายสายการผลิตรถยนต์จากจ.พระนครศรีอยุธยาไปที่ จ. ปราจีนบุรีว่า การปรับแผนการผลิตไม่เกี่ยวกับยอดขายที่ปรับตัวลดลง แต่การปรับโรงงานที่จ.พระนครศรีอยุธยา พัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นไปตามเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าฮอนด้าถือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นรายใหญ่ที่ยังไงก็ไม่ล้มง่าย ๆ เพราะที่ผ่านมาทุกแบรนด์ก็เป็นเหมือนกันทั้งจีน สหรัฐฯ มีการปรับโครงสร้างทั้งภายในและภายนอกเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยยอดขายรถยนต์มีทั้งขึ้นและลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก จากเคยขายได้ 17 ล้านคัน เหลือ 9 ล้านคันก็เคยมีเช่นกัน จึงเชื่อว่าฮอนด้าไม่ใช่ว่าจะถอยหรือเลิกการผลิตในไทยแน่นอน

รายงานจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ว่า  ฮอนด้าจะพัฒนาโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี เป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปที่สมบูรณ์แบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความสามารถในการรองรับธุรกิจ

ส่วนโรงงานฮอนด้าอยุธยา จะพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน โดยใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่เราได้มีการพัฒนาและสั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี

“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่ตลอดไปโดยเราดำเนินการจะผลักดันอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อสนับสนุนตลาดรถยนต์ในประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นฐานการส่งออกทั่วโลกเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยด้วย”

บริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป รวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ xEV อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่พึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเสริมสร้างโครงสร้างการผลิตที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม e:HEV series ระบบฟูลไฮบริดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อีกทั้งสัดส่วนยอดขายมีการเติบโตขึ้นอย่างมากจาก (ผลประกอบการในปี 2565) 32% เป็น 70% (แผนในปี 2567) ในด้านธุรกิจ บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแบบรวมศูนย์ โดยต่อไปเราจะมีการปฏิรูปแต่ละโรงงานของเราเพื่อยกระดับโครงสร้าง

สำหรับโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี ตั้ง อยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี บนพื้นที่ 1,600 ไร่ (ประมาณ 2.56 ล้านตารางเมตร) ใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 17,150 ล้านบาท วางกำลังการผลิตไว้ 120,000 คันต่อปี เริ่มผลิตรถยนต์รุ่นแรกคือ ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชันที่ 10 ในปี 59

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาฐานการผลิตทั้ง 2 แห่ง ก็เปิดสายการผลิตรถยนต์ด้วยกันทั้งคู่ โดยปัจจุบันโรงงานอยุธยามีความสามารถในการผลิตสูงสุด (capacity) 150,000 คัน/ปี โดยผลิต Accord, BR-V, HR-V, CR-V, Civic

ขณะที่โรงงานปราจีนบุรี มีกำลังการผลิต 120,000 แสนคัน/ปี รองรับการผลิต Civic Hatchback, Jazz, City Sedan, City Hatchback และล่าสุด คือ การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV รุ่นแรกของฮอนด้า คือ e:N1

สำหรับการปรับเปลี่ยนแผนการผลิตครั้งนี้ ถูกจับตาพอควรเพราะเกิดขึ้นช่วงตลาดรถยนต์ไทยหดตัวต่อเนื่อง การเข้ามาตีตลาดของ  EV จีน รวมถึงการประกาศหยุดการผลิตรถยนต์ของแบรนด์ญี่ปุ่น 2 แบรนด์ ก่อนหน้านี้ คือ ซูบารุ ที่มีผลปลายปี 2567 และซูซูกิ มีผลปลายปี 2568

หากย้อนดูไทม์ไลน์ของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2535 โดยมีทุนจดทะเบียนปัจจุบันอยู่ที่ 5,460 ล้านบาท โดยจดทะเบียนประกอบธุรกิจการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบและจำหน่ายรถยนต์ประกอบและจำหน่ายชิ้นส่วน อุปกรณ์ รถยนต์และอื่นๆ

ขณะที่งบการเงิน 5 ปีย้อนหลัง (2562-2566) พบว่า

ปี 2562 รายได้รวม 239,165.881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.50% รายจ่ายรวม 225,719.795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.57% กำไร 12,785.296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.42%

ปี 2563 รายได้รวม 206,706.739 ล้านบาท ลดลง 13.57% รายจ่ายรวม 192,976.624 ล้านบาท ลดลง 14.50% กำไร 11,648.484 ล้านบาท ลดลง 8.89%

ปี 2564 รายได้รวม 137,720.478 ล้านบาท ลดลง 33.37% รายจ่ายรวม 133,619.701 ล้านบาท ลดลง 30.75% กำไร 3,649.484 ล้านบาท  ลดลง 68.66%

ปี 2565 รายได้รวม 151,520.850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.02% รายจ่ายรวม 145,941.975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.22% กำไร 5,012.709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.35%

ปี 2566 รายได้รวม 158,452.503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.57% รายจ่ายรวม 151,098.653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.53% กำไร 5,896.695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.63%

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img