วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSนายกฯ เปิดตัวโครงการ Ignite Finance ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

นายกฯ เปิดตัวโครงการ Ignite Finance ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก


นายกฯ เปิดตัวโครงการ Ignite Finance ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก ย้ำการผลักดัน Innovation ใหม่ ๆ ระบบการเงิน นำไปสู่การสร้าง Inclusive Innovation ด้านการเงินให้คนไทย ขณะที่ One-stop service ความชัดเจนการบริหารเงินทุน เป็นหัวใจสำคัญ ให้ไทยเติบโตสู่ Financial Frontier ของภูมิภาค ดึงดูดเงินทุน คนที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาอยู่ในประเทศ สร้างประโยชน์ให้เศรษฐกิจของโลก-ประเทศไทย


เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เวลา 13.30 น. ณ ห้องกำปั่นทอง ชั้น 21 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ภายใต้หัวข้อ Ignite Finance: Thailand’s Vision for a Global Financial Hub เปิดทางนำไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลก ซึ่งกระทรวงการคลังจัดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ของนายกรัฐมนตรีที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของ 8 อุตสาหกรรมหลัก โดย “Ignite Finance” มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และผู้นำจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมด้วย

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของกระทรวงการคลังในการปรับตัว และบทบาทในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วง 149 ปีที่ผ่านมา และได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงการคลังในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและเต็มไปด้วยนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีการเงินโลก รวมทั้งนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ “Ignite Finance” โดยวางแผนและเป้าหมายที่มุ่งเน้นการปฏิรูปการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจทางการเงิน สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ และการเสริมสร้างระบบนิเวศน์ทางการเงินที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินโลกหรือ Thailand Financial Center ที่จะเน้นการประกอบธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจประกันภัย ผ่าน 3 กุญแจสำคัญ (1) กฎหมายที่พร้อมรับอนาคต: โดยได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยกร่างกฎหมายที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ภายใต้โครงการ Ignite Thailand ภาครัฐจะผลักดันร่างกฎหมายที่จะสร้างกรอบการกำกับดูแลแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การขอใบอนุญาตจนถึงการกำกับดูแลมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อให้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วและตอบโจทย์ผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อขยายขอบเขตและบทบาทของภาคการเงินของประเทศไทยในเวทีโลก (2) สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่: Ignite Finance จะสร้างให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกแรกที่สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงินเลือกที่จะมาตั้งสาขาและประกอบธุรกิจ ด้วยสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งบริษัทและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การให้วีซ่าทำงานแก่บุคลากร และวีซ่าที่เกี่ยวข้องของครอบครัว การจัดเก็บภาษีที่เทียบเท่ากับศูนย์กลางการเงินอื่น โครงการเพิ่มแรงจูงใจอื่น ๆ เช่น เงินสนับสนุน (Grant) และ (3) ระบบนิเวศน์แห่งอนาคต: Ignite Finance จะพัฒนากรอบกฎหมายที่เข้มแข็งและโปร่งใสที่จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำธุรกิจทางการเงิน เหมือนที่ประเทศไทยได้ออกกฎหมายว่าด้วยการประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนธุรกิจและคุณภาพชีวิตของบุคลากร

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะพลิกโฉมนโยบายระบบสถาบันการเงิน ด้วยการริเริ่มนโยบายระบบสถาบันการเงินภายในประเทศที่สำคัญ โดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้มีการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) และการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA) โดยนโยบายดังกล่าวมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินของประชาชนและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้ระบบการเงิน มีประสิทธิภาพ มั่นคง และตอบโจทย์ของประชาชน

โอกาสนี้ นายกฯ ได้ย้ำถึงสิ่งรัฐมนตรีนำเสนอ Vision ไปว่า เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศ ให้เติบโตจากภาคการผลิต ไปสู่ภาคการบริการที่มีมูลค่าสูงมากยิ่งขึ้น โดยอุตสาหกรรมการเงินของไทยช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีความแข็งแกร่งจากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจฝั่งภาคการผลิต การท่องเที่ยวในประเทศ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยได้เร็วเพียงพอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ ความสามารถมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในอุตสาหกรรมดังกล่าว คือ “อุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน การธนาคาร” ซึ่งกลยุทธ์หลักที่รัฐมนตรีได้นำเสนอไปคือ การเปิดรับเงินนอกเข้ามาอยู่ในประเทศ

นายกฯ กล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้าน ปรับแก้กฏหมายให้เป็นมิตรต่อการทำธุรกิจ เพราะหลาย ๆ บริษัท ไม่ได้เข้าไปอยู่ในประเทศ เพื่อจะค้าขายกับคนในประเทศ แต่เป็นการเข้าไปอยู่เพื่ออาศัย Ecosystem ในการทำธุรกิจ ทำให้สามารถหา Talent ได้ เจรจาพูดคุยการค้า การลงทุน ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบ้านเขาทำได้ และที่ผ่านมาทำไมนักลงทุนถึงไม่เลือกประเทศไทย ซึ่งการออกไปคุยกับนักลงทุนทำให้เข้าใจดีว่า หัวใจของการสร้างอุตสาหกรรมนี้ คือ การมีกฏหมายที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินธุรกิจ และการมี Facility สำหรับคนทำงานที่ดีพอ ซึ่งมั่นใจว่า Facility ต่าง ๆ ในประเทศไทยนั้น World Class ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียน international สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img