ลุยไฟไปตายดาบหน้า สำหรับนโยบายเรือธง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ของรัฐบาล ไม่สมราคาคุย แสดงถึงความไม่พร้อมตามราคาคุย ทั้งที่มาของ “เงิน-ระบบจัดการเงิน” เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ไม่เปิดหน้าแถลงตามที่นัดไว้ 24 ก.ค.67 ปล่อยให้ “ดรีมทีมเศรษฐกิจรัฐบาล” โยน “มุกเก่า” ยื้อเวลา…ออกไปอีกหน่อย
ย้ำเน้นถึง “การใช้จ่าย” ระหว่าง “ประชาชน” กับ “ร้านค้าขนาดเล็ก-ร้านค้าขนาดกลาง” กับ “ร้านค้าขนาดใหญ่”
พลังใช้จ่ายตามสเต็ปก่อเกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูกใหญ่ ช่วยฟื้นฟูภาคผลิตของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
ยังสงสัยอยู่ จะสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจได้อย่างไร เมื่อเทียบกับ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งแตะระดับ 91.41% ต่อจีดีพี ราวๆ 16.99 ล้านบาท ตามที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี ตอกย้ำรายได้ไม่พอยาไส้ในระดับครัวเรือน เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ “ดรีมทีมเศรษฐกิจรัฐบาล” ยังวนอยู่ในเขาวงกต
และประเทศไม่มีเงินถุงเงินถังให้ถลุงเล่นแร่แปรธาตุ เห็นได้จากจุดเริ่มต้นที่มาของเงิน เดิมกำหนดเป้า 5.6 แสนล้านบาท ทะยอยลดลงทีละขยักเหลือ 5 แสนล้านบาท และปิดจ๊อบที่ 4.5 แสนล้านบาท โดยตั้งแท่นออกพ.ร.บ.เงินกู้ล็อตใหญ่ ท่ามกลาง “ถูกกระแสต่อต้านหนัก” ทานทนไม่ไหวเบี่ยงปมร้อน ควงผู้เกี่ยวข้อง และทีมกฎหมายเปิดฉาก “ทุบแบงก์ที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของรัฐ” แต่ “ถูกตอกหน้าหงายกลับมาหมด” ติดเงื่อนไขวัตถุประสงค์การก่อตั้งแบงก์รัฐ
จบที่ชงร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณปี 67 หลังผ่านกฎหมายฉบับนี้ไปแล้ว และงบฯอีกก้อนจาก ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 รวมเงินก้อนใหญ่ 4.5 แสนล้านบาท
“งานงอก” ตามมา คือ “กันเงินงบประมาณแผ่นดินปี 67 ไว้เบิกเหลื่อมปี 68 โครงการเรือเกลือ มีกำหนดเปิดลงทะเบียนปีงบประมาณ 67 และจ่ายเงินคนละหมื่นรวม 4.5 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 68” ล่อแหลมติดเงี่ยงกฎหมาย เพราะ “งบประมาณเพิ่มเติมต้องใช้ภายในปีงบประมาณ”
แม้ใช้ “วิชาหัวหมอ” เปิดให้ “ดรีมทีมเศรษฐกิจรัฐบาล” ย้ำภาพกวักมือให้ประชาชนที่มีสิทธิ์เข้าโครงการเผือกร้อน รีบลงทะเบียนก่อนถึง 1 ต.ค.67 ที่เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณปี 68
แต่กลับเปิดให้ร้านค้าเริ่มลงทะเบียนตั้งแต่ 1 ต.ค.67 ทั้งที่ร้านค้าแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการกว่า 2 ล้านราย นั่นหมายว่า ระบบจัดการโครงการนี้ไม่พร้อม
และเร่งกวักมือให้ประชาชนรีบมาลงทะเบียนก่อน เพื่อตรวจสอบสิทธิ์ ระบบตอบกลับไปยังประชาชนที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการเผือกร้อน “เกิดนิติสัมพันธ์” กลายเป็น “สัญญา” ทันที มีผลทำให้ดำเนินการกักเงินไว้เบิกเหลื่อมปีได้
โอ้มายก๊อด !! ไอเดียกระทรวงการคลังเจ๋งม๊ากๆ และหน่วยงานกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ถึงวันนี้กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณเพิ่มเติมปี 67 ยังถูกตั้งข้อสังเกตกำลังฟอกขาว โดยมีกมธ.ในสัดสวนพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามว่า “เกิดสัญญาได้อย่างไร” ในเมื่อผูกพันธ์ลักษณะการตอบแทน ไม่ใช่สัญญาที่ต้องเซ็นยินยอมทั้งรัฐบาล เจ้าของเงินดิจิทัลที่มาจากภาษีของประชาชนกับประชาชนผู้มีสิทธิ์ได้รับดิจิทัล วอลเล็ต
งานนี้รัฐบาลกำลังดันทุรังไปให้ถึงเป้า เพื่อรักษาภาพลักษณ์ บนคำถามคำโตที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) และยังมีนักแบงก์เกอร์ระดับยักษ์ใหญ่ของประเทศ ประสานเสียง “เสี่ยงต่อการทุจริต”
ขนาดยังไม่ได้พูดถึง “การพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล” หรือ “วางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัล” ตามที่ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ วันนี้ยังไม่เห็นว่านวัตกรรมนั้น คือเครื่องมือตัวไหน หากเป็นแค่แอปพลิเคชันทางรัฐ มันก็เป็นดิจิทัลพื้นๆ ทั่วไป
หรือระบบหลังบ้าน “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง แง้มให้เห็นระบบฐานข้อมูล “บล็อกเชน” ลงทะเบียนโดย แอปฯ “ทางรัฐ” รู้ว่าเป็นใคร ชำระเงินที่ไหน รู้ว่าซื้ออะไร โปร่งใสชัวร์ ก็ยังเป็นดิจิทัลดาษๆ
เพราะรัฐบาลมีพฤติการณ์เหมือนล็อกสเปกล่วงหน้า โดยไม่เปิดทีโออาร์ระบบว่า ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย ทดสอบระบบครบถ้วน เชื่อมต่อระบบไร้รอยต่อ พฤติการณ์เช่นนี้ไม่มีวัน “วางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัล” ได้สำเร็จ
หากต้องการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจดิจิทัลตามราคาคุย “รัฐบาลเศรษฐา” ต้องชี้แจงให้กระจ่างว่า ทำไมไม่วางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลก่อน หรือรัฐบาลไม่มีนวัตกรรมหรือเครื่องมือ หรือ ซอฟต์แวร์ “อินเตอร์เน็ต ออฟแอสเซท”
และต้องทำควบคู่เซ็ตระบบฐานข้อมูล “บล็อกเชนสาธารณะ” ที่มีสเปกแก้ไขระบบหลักบ้านไม่ได้ สามารถ “จดบันทึกธุรกรรม และบัญชี” ไปในคราวเดียวกันชนิดเรียลไทม์ เพื่อป้องกันโกงกินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
………………….
คอลัมน์ : ไขกุญแจ/ไขแหลก
โดย…#ราษฎรเต็มขั้น
