ย่างเข้าเดือนสิงหาคม การเมืองบ้านเราร้อนฉ่าอีกครั้ง ทั้งที่ไฟการเมืองเก่าๆ ก็ยังมอดไม่หมด แต่เดือนนี้มี 3 ปรากฏการณ์ใหญ่ ที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด แต่ละปรากฏการณ์มีผลต่อสถานการณ์การเมืองไทยในอนาคตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ปรากฏการณ์แรก วันที่ 7 สิงหาคม 67 ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดวินิจฉัยชี้ชะตา “พรรคก้าวไกล” ว่าจะ “ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ตามคำของของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และขอให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหาร และห้ามไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่ เป็นเวลา 10 ปี
บรรดาเกจิทางการเมืองส่วนใหญ่ฟันธง ว่างานนี้ “ก้าวไกลไม่น่ารอด” คงต้องโดนยุบพรรค ซ้ำรอย “อนาคตใหม่” พันเปอร์เซ็นต์ เรื่องอาจไม่จบแค่นี้ การยุบพรรคก้าวไกลอาจจะเป็นจิ๊กซอว์ให้คนนำไปยื่นต่อ “ป.ป.ช.” เพื่อเอาผิด “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ กรรมการบริหารพรรค ทั้ง 44 คน ให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม เหรียญมี 2 ด้าน การยุบพรรคก้าวไกลในห้วงเวลาที่พรรคการเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน กำลังเกิดวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก อาจทำให้พรรคใหม่ที่เป็นพรรคสำรองของ “ก้าวไกล” กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมก็เป็นได้เพราะการยุบพรรคการเมืองของนักการเมืองกลุ่มเดียวต่อเนื่องถึง 2 ครั้งจะถูกมองว่า โดนกลั่นแกล้ง เรียกคะแนนสงสารได้
ปรากฏการณ์ที่ 2 ชี้ชะตาอนาคต “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” วันที่ 14 สิงหาคม 67 ว่าจะได้ “ไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้” คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรณี 40 สว.ชุดที่แล้ว ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณี “เศรษฐา” ได้นำความกราบทูลฯเพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม หากนายกฯเศรษฐา “ได้ไปต่อ” สถานการณ์การเมืองคงไม่ตึงเครียด รัฐบาลก็ทำงานต่อไป แต่ถ้า “ไม่ได้ไปต่อ” หลุดจากเก้าอี้จะส่งผลให้ ครม.พ้นตำแหน่งตามไปด้วย ต้องมีการสรรหา “นายกฯคนใหม่” เท่ากับรัฐบาลนับหนึ่งใหม่ หรือหาก “นายกฯเศรษฐา” ไม่ยอมตายคนเดียว เลือก “ยุบสภาฯ” จัดเลือกตั้งใหม่ ประเทศก็ต้องนับหนึ่งกันใหม่
ปรกฏการณ์สุดท้าย ในวันที่ 22 สิงหาคม 67 “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ พ้นโทษ ไม่ได้มีผลทางการเมืองโดยตรง แต่ที่น่าจับตามองคือ “บทบาทของทักษิณ” จะเข้ามากำหนดการทำงานพรรค และรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน
จาก 3 เหตุการณ์ย่อมมีผลทางการเมือง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เหนือสิ่งใดต้องไม่ลืมว่า การเมืองกับเศรษฐกิจนั้น แยกจากกันไม่ออก หากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ออกมาในทิศทางที่ดีจะเป็นการเรียก “ความเชื่อมั่น” ให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติได้
ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจ อันเนื่องมาจาก “บทบาทนายกฯรัฐมนตรี” ที่ถูกแทรกแซงจาก “ผู้มีอำนาจเหนือพรรค” ความวุ่นวายที่อาจจะเกิดจากการยุบก้าวไกลและชะตากรรมของนายกฯเศรษฐาทียังอึมครึม จากปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้นักลงทุนไปลงทุนที่อื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ทั้งหลายทั้งปวง สะท้อนจากปรากฏการณ์ใน ตลาดหุ้นไทย ที่นักลงทุนเทขายขนเงินไปลงทุนที่อื่นแทน ตั้งแต่ต้นปี เกือบสองแสนล้านบาท ขณะที่การเมืองยังอึมครึม เศรษฐกิจยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ข่าวการปิดโรงงาน ลอยแพคนงาน มีให้เห็นทุกวัน ตั้งแต่ต้นปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง ไม่ใช่แค่โรงงานปิด แต่โรงงานเปิดใหม่ ก็ลดลงเช่นกันจากเฉลี่ยที่เป็นบวกสุทธิประมาณ 150 โรงงานต่อเดือน ลดลงเหลือเพียง 50 โรงงานต่อเดือนเท่านั้น
ขณะที่ ธุรกิจ SME ก็โดนสินค้าจีนถล่มยกขบวนเข้ามาถล่มหนักข้อขึ้นทุกวัน แต่ก่อนมากันแบบกองทัพมด แฝงมาในรูปของนักท่องเที่ยว ขนสินค้ามาขายราคาถูกๆ เปิดร้านอาหารแข่งคนไทย ยึดทำเลทองย่านเยาวราช สำเพ็ง ห้วยขวางดินแดง จนทุกวันนี้ถึงขั้น ยกเฟรนไชส์ขยายสาขามีทั้งเฟรนไชส์ไอศครีม เฟรนไชส์ไก่ทอดเข้ามาขายแข่งกับของไทย อุปกรณ์ทุกอย่างรวมถึงวัตถุดิบ ขนมาจากเมืองจีน ไม่ใช้ของไทย
ล่าสุดบรรดาผู้ประกอบการขนส่งของไทย นั่งไม่ติดเพราะมี “ขนส่งศูนย์เหรียญเข้ามาตีตลาด” มาสร้างคลังสินค้า ขนรถบรรทุกนับหมื่นๆ คันเข้ามา แต่ที่น่ากังวลมากที่สุด คือการเข้ามาของ Temu แพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ช จากจีนที่สร้างความปั่นป่วนให้กับออนไลน์ทั่วโลก กำลังเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย สร้างความหวั่นไหวให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก หลังจากสหรัฐฯโดนถล่มราบคาบมาแล้ว
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ ทั้งปีคาดว่า จีดีพี.ใม่เกิน 3% อันดับเกือบจะบ๊วยสุดในอาเซียน เพราะแต่ละประเทศเช่นเวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีดีพี.โตระดับ 7%อินโดฯ 5% มาเลย์ 4 % มีแค่ลาว พม่าที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าไทย
หากการเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ออกมาไปในทางลบ เศรษฐกิจไทยนับจากนี้คงดูไม่จืด หากเปรียบการเมือง เศรษฐกิจไทยตอนนี้ก็เสมือนบัวเหล่าที่ 5 ที่ไม่จมอยู่ใต้โคลนตมไม่ได้ผุดได้เกิด
…………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)