วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 28, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight'ปชป.'คะแนนนิยมร่วงผลพวงร่วมรัฐบาล 'เพื่อไทย'สวนทางเรตติ้งพุ่งร้อยละ80.4
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ปชป.’คะแนนนิยมร่วงผลพวงร่วมรัฐบาล ‘เพื่อไทย’สวนทางเรตติ้งพุ่งร้อยละ80.4

ซูเปอร์โพล ผลผลสำรวจความนิยมต่อประชาธิปัตย์ พบว่า หลังเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยคะแนนนิยมลดลงถึงร้อยละ 60.1  ขณะที่เพื่อไทย พุ่งสูงถึงร้อยละ80.4

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.67 สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ความนิยมต่อประชาธิปัตย์กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ  (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)

รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,346 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาเมื่อวิเคราะห์ความนิยมของประชาชนคนเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ต่อพรรคประชาธิปัตย์ หลังมีข่าวเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย พบว่า คะแนนนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นหรืออยู่ในแดนบวก เพียงร้อยละ 39.9 ในขณะที่คะแนนนิยมส่วนใหญ่ต่อพรรคประชาธิปัตย์ลดลงหรืออยู่ในแดนลบ ถึงร้อยละ 60.1

ในกลุ่มคนเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวิเคราะห์ความนิยมของประชาชนคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยต่อพรรคเพื่อไทยหลังมีข่าวพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล พบว่า คะแนนนิยมต่อพรรคเพื่อไทยกลับเพิ่มขึ้นหรืออยู่ในแดนบวกสูงถึงร้อยละ 80.4 ในขณะที่คะแนนนิยมต่อพรรคเพื่อไทยลดลงหรืออยู่ในแดนลบ มีอยู่ร้อยละ 19.6ในกลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทย

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อจำแนกออกตามกลุ่มอาชีพของคนเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนนิยมในกลุ่มพนักงานเอกชนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด คือร้อยละ 81.1  รองลงมาคือกลุ่มเกษียณอายุ ร้อยละ 66.7 กลุ่มค้าขายอาชีพอิสระ ร้อยละ 65.3 กลุ่มข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 62.3 และกลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 54.7 ของกลุ่มคนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกออกตามกลุ่มอาชีพของคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทย พบว่า หลังมีข่าวพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลับทำให้คะแนนนิยมของประชาชนคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นหรืออยู่ในแดนบวกสูงสุดในกลุ่มเกษียณอายุร้อยละ 81.8 รองลงมาคือ กลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 80.6 กลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 79.2 กลุ่มค้าขาย อาชีพอิสระ ร้อยละ 73.8 และกลุ่มพนักงานเอกชน ร้อยละ 66.9 ของกลุ่มคนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทย

ที่น่าสนใจอีกประเด็นของผลสำรวจครั้งนี้คือ ความรู้สึกของประชาชน เมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ พบว่าจำนวนมากสุดหรือร้อยละ 44.1 รู้สึกเฉย ๆ ในขณะที่ร้อยละ 29.7 เสียใจ แต่สัดส่วนใกล้เคียงกันคือร้อยละ 26.2 กลับรู้สึกดีใจ รายงานของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลครั้งนี้สะท้อนถึงความรู้สึกและการตอบสนองทางอารมณ์ของประชาชนต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองล่าสุดในประเทศไทยได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้การร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงคะแนนนิยมที่น่าสนใจโดยเฉพาะในกลุ่มคนเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความไม่พอใจเพิ่มขึ้นส่วนกลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยกลับมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นสูง

นอกจากนี้การยุบพรรคก้าวไกลยังสร้างความรู้สึกที่หลากหลายในหมู่ประชาชนซึ่งเป็นสัญญาณของการแบ่งขั้วทางความคิดและการตอบสนองที่แตกต่างกันตามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยที่อาจนำพาไปสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำซากได้

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า เพื่อตอบโจทย์ของการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากประชาชนต่อการขับเคลื่อนประเทศตามระบอบประชาธิปไตยในอนาคตสำนักวิจัยซูเปอร์โพลจึงจัดทำข้อเสนอแนะที่อาจช่วยให้กลุ่มการเมืองต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการและคาดหวังของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลทางการเมืองการปกครองประเทศหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ซ้ำซาก

1. เพิ่มความโปร่งใสและมีส่วนร่วม กลุ่มการเมืองควรเพิ่มความโปร่งใสในการตัดสินใจและนโยบายต่างๆพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการต่างๆ เช่น การจัดทำนโยบายการแก้ไขปัญหาสังคม หรือการวางแผนการพัฒนาต่างๆ โครงการสำคัญตามนโยบายเฉพาะพิเศษของรัฐบาล เช่นเงินดิจิทัล ซอฟต์พาวเวอร์ การให้สิทธิพิเศษต่อชาวต่างชาติและบริษัทข้ามชาติ เป็นต้น

2. สื่อสารที่ชัดเจนและสม่ำเสมอการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและสม่ำเสมอเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานที่กำลังดำเนินการจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจและติดตามผลงานของพรรคได้ง่ายขึ้น และช่วยสร้างความไว้วางใจ

3. ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนให้ความสำคัญกับความต้องการของประชาชนในระดับท้องถิ่นและแหล่งเลือกตั้งของตนเพื่อสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการจริงๆ ของพวกเขา ซึ่งจะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมและการสนับสนุน

4. ส่งเสริมความเป็นธรรมและการบริหารจัดการที่ดีพยายามลดการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มโดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการที่ดีและเป็นธรรม สนับสนุนการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ

5. การศึกษาและการพัฒนาความรู้ระบบการเมืองส่งเสริมการศึกษาและการพัฒนาความรู้ให้กับประชาชนเพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจในระบบการเมืองและนโยบายต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่ตนสนับสนุนได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน

6. ให้ความสำคัญกับปัญหาที่เฉพาะเจาะจง มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น การเพิ่มการจ้างงาน การบริหารจัดการทรัพยากร การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอุตสาหกรรมความรู้ วิจัยนวัตกรรมต่าง ๆ โดยรวมแล้ว ความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางการเมืองที่ยั่งยืนจะต้องอาศัยความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลักจะช่วยทำให้ประเทศไทยห่างไกลวงจรอุบาทว์ได้ไม่ยากนัก

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img