ศูนย์จีโนมทางการแพทย์เผยพบโควิด-19 สายพันธุ์ลูกผสมใหม่ “KP.2.3/XEC” ในประเทศแถบซีกโลกเหนือ ยืนยันผู้ติดเชื้อแล้ว 21 ราย แพร่ระบาดเร็วกว่าเดิม 2 เท่าเตือนระวังความรุนแรงของโรค
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 67 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า โอมิครอน KP.2.3/XEC : ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า
พบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ลูกผสมใหม่ “KP.2.3/XEC” ในประเทศแถบซีกโลกเหนือแล้ว 9 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ออสเตรีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สโลวีเนีย สวีเดน เดนมาร์ก ยูเครน และสหรัฐอเมริกา โดยยืนยันผู้ติดเชื้อแล้ว 21 ราย จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ เนื่องจากหลายประเทศได้ลดการตรวจสอบรหัสพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยรายใหม่ลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้อาจมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการตรวจพบอีกจำนวนมาก
เชื้อโควิด-19 ยังคงวิวัฒนาการไม่หยุดยั้ง ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบสายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ ที่เกิดจากการรวมตัวของเชื้อโอมิครอนสองสายพันธุ์ คือ XEC และ KP.2.3 แม้ยังไม่มีชื่อเป็นทางการ แต่วงการแพทย์เรียกมันว่า “ลูกผสม KP.2.3/XEC”
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เชื้อตัวนี้กำลังแพร่ระบาดไปหลายประเทศอย่างรวดเร็ว จากรหัสพันธุกรรมบ่งชี้ว่าอาจมีความสามารถในการแพร่เชื้อสูงกว่าสายพันธุ์ XEC
จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมจากผู้ติดเชื้อทั่วโลก พบว่า “ลูกผสม KP.2.3/XEC” มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นที่ระบาดอยู่ทั่วโลก ประมาณ 102% หรือประมาณ 2 เท่า
ส่วนจากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมจากผู้ติดเชื้อทั่วโลก พบว่า XEC มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นที่ระบาดอยู่ทั่วโลก เพียงประมาณ 64% หรือ 1.64 เท่า
นักวิทยาศาสตร์จึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งความรุนแรงของโรค การหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน และประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่
แม้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปผลกระทบทั้งหมด แต่การค้นพบนี้เตือนให้เราต้องระมัดระวังตัวต่อไป หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเร่งศึกษาวิจัยเชื้อตัวใหม่นี้ ทั้งการติดตามการแพร่ระบาด วิเคราะห์พันธุกรรม และทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนและยา เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
ขณะนี้ ประชาชนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อต่อไป