วันศุกร์, พฤศจิกายน 1, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSเตือนคนไทย“อย่าเชื่อข่าวลืออัปมงคล” คาดปล่อยข่าว“ทุบหุ้น”เป็นทุนการเมือง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เตือนคนไทย“อย่าเชื่อข่าวลืออัปมงคล” คาดปล่อยข่าว“ทุบหุ้น”เป็นทุนการเมือง

“อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เตือนสังคมไทย “อย่าเชื่อข่าวลืออัปมงคล” เกี่ยวกับ “สถาบัน” ขณะที่ “ดร.นิว” เชื่อปล่อยข่าวลือ หวังทุบตลาดหุ้นไทย เพื่อช้อนซื้อหวังทำกำไร แล้วนำเงินมาเป็นทุนการเมือง ปลุกม็อบลงถนน-ใช้ในการเลือกตั้ง จี้รัฐเร่งจัดการแผน “ใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือ” ปล่อยข่าวลือ

เมื่อวันที่ 14 พ.ค.64 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า…อย่าเชื่อข่าวลือ สังคมไทยสนใจข่าวลือ แต่ข่าวลืออันเป็นอัปมงคลกับสถาบัน มันไม่เป็นความจริง แต่กลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันมักเชื่อ

คราวนี้ ผู้สื่อข่าวฝรั่งที่เคยอยู่เมืองไทย นายแอนดรูปล่อยข่าวลือว่า เจ้านายทรงพระประชวรและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และต่อมาย้ายไปโรงพยาบาลศิริราช

เจ้านายทุกพระองค์จะมีหมอหลวงประจำพระองค์ หากจำเป็นต้องทรงเสด็จไปรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปโรงพยาบาลเอกชน ในเมื่อโรงพยาบาลศิริราชและจุฬาฯ มีทีมแพทย์และเครื่องไม้เครื่องมือดีที่สุดในประเทศ

อยากจะดึงสติคนไทย อย่าเชื่อข่าวลือทำนองนี้ ทุกครั้งที่เจ้านายจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล จะมีการแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังทุกครั้ง

ผู้สื่อข่าวฝรั่งคนนี้มักจะรายงานข่าวลือ ให้ร้ายสถาบันและประเทศไทยเป็นประจำ กลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันก็มักจะเชื่อ โดดงับ พร้อมกระจายข่าวลืออย่างเป็นระบบ

ผู้เสพข่าวต้องแยกแยะ และอย่าตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี และอย่ากระจายข่าวลือ

นันทิวัฒน์ สามารถ cr : FB Nantiwat Samart

ทางด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเช่นกันว่า….ความน่าสงสัยของข่าวลือ การปล่อยข่าวลือครั้งนี้เป็นการทุบราคาตลาดหุ้นไทย เพื่อช้อนซื้อหวังทำกำไรเป็นทุนในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วย้อนกลับมาใช้ในการปั่นกระแสบิดเบือนผ่านโซเชียลมีเดีย การปลุกม็อบลงถนน ตลอดจนการเลือกตั้งในครั้งต่อไปหรือไม่?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ชัดเจนที่สุดเลยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้คือ นายจ้างของคนที่ปล่อยข่าวลือโจมตีสถาบันฯ และยังเป็นนายทุนเจ้าของขบวนการปั่นกระแสบิดเบือนในโซเชียลมีเดีย เพื่อปลุกม็อบลงถนนมาโดยตลอด

ผมเคยเตือนมาหลายครั้งแล้วนะครับ สำหรับมหันตภัยของ “การใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธ” หรือ “The Weaponization of Social Media” ซึ่งนับวันจะมีแต่จะบ่อนทำลายความมั่นคงและแทรกแซงกิจการภายในประเทศของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ารัฐบาลยังไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม บอกได้เลยว่า ความล้มเหลวอันใหญ่หลวงของรัฐบาลนี้คือ การไม่สร้างอธิปไตยทางไซเบอร์ แล้วปล่อยให้ขบวนการชั่วซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ในซอกหลืบของรั้วมหาวิทยาลัย ขยายตัวใหญ่โตผ่านโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็นภาระของประชาชนในการต้องมานั่งต่อสู้กับข่าวปลอมโดยไม่เว้นแต่ละวัน

แม้แต่ในยามโควิดระบาดหนักเช่นนี้ ประชาชนตาดำๆ ก็ยังต้องมานั่งต่อสู้กับข่าวปลอมเรื่องวัคซีนเต็มไปหมด

ดร.นิว-ศุภณัฐ อภิญญาณ

ขณะที่ พลเอกหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ โพสต์ข้อความผ่านฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ระบุว่า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า พอโควิดรอบนี้ระบาดหนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินี งดพระราชกิจต่างๆ มิได้เสด็จออกไปไหน ไอ้สมศักดิ์ เจียมและพรรคพวกสาวกจิตรไม่ว่าง ก็เลยถือโอกาส มโนเต้าข่าวปลอม ออกมากันยกใหญ่ตอนนี้

ทางที่ดีถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับสองพระองค์จริง รอฟังการแถลงการณ์ ของสำนักพระราชวังเท่านั้นที่แน่นอนอย่าวิตกจริตไปเชื่อไอ้สมศักดิ์ เจียม และพรรคพวก พวก จิตตก จิตรไม่ว่าง

ม.จ.จุลเจิม ยุคล
จิ้งจกทักมาว่า พวกล้มเจ้ามันเต้าข่าวขึ้นมา เพื่อทุบหุ้น หาเงินเล่นการเมือง ตลาดหุ้นจะต้องหาทางจับกุมคนพวกนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทย ปิดที่ 1,548.13 จุด ลดลง -23.72 จุด หรือ -1.51% โดยดัชนีอยู่ในแดนลบตลอดการซื้อขาย ยิ่งกว่านั้น ในช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนที่ปิดการซื้อขายของวัน ดัชนีปรับลดลงไปลึกถึง 70 จุด สู่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,501.02 จุด ก่อนที่จะดีดกลับมาและทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงเพียง 23.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 143,714 ล้านบาท โดยนักลงทุนในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิหุ้นไทยที่ 4,542.11 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนสถาบัน และ บัญชีหลักทรัพย์ เป็นฝ่ายขายสุทธิหุ้นไทย 2,458 ล้านบาท 286 ล้านบาท และ 1,797 ล้านบาท ตามลำดับ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img