วันจันทร์, พฤศจิกายน 25, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“ไทย”เข้าร่วม“BRICS”....ส่งผลดีต่อ “ความมั่นคงในภูมิภาค”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ไทย”เข้าร่วม“BRICS”….ส่งผลดีต่อ “ความมั่นคงในภูมิภาค”


“…..การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ BRICS จะส่งผลดีต่อความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้นโดยไม่กระทบต่อตลาดโลกในเชิงลบแต่กลับจะทำให้ตลาดสินค้าและบริการในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เติบโตขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพไปพร้อมกับขั้วอำนาจเศรษฐกิจเดิม….”

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 19 ต.ค.67 ห้วงเวลาที่ผ่านมา พบว่า นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งกําลังจับตามองไทย และมาเลเซียอย่างใกล้ชิด กรณีการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ BRICS เนื่องจากกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสมดุลทางการทูตไปสู่ขั้วประเทศใหม่

@@@…….โดย นายโก อิโตะ ศาสตราจารย์ด้านการเมือง และความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยเมจิ ให้สัมภาษณ์ว่า ญี่ปุ่นมีความกังวลอย่างมากในเรื่องนี้ว่า ไทย และมาเลเซีย อาจจะกําลังละทิ้งความสมดุลทางการทูตที่เคยรักษาไว้มาตลอด ระหว่างกลุ่มขั้วอํานาจเดิมกับกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และหันไปโน้มเอียงเข้ากับกลุ่มใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน และรัสเซียมากขึ้น ขณะที่ นายเจฟฟ์ คิงส์ตัน ผอ.ศูนย์เอเชียศึกษาของมหาวิทยาลัยเทมเพิล ในกรุงโตเกียว เห็นต่างว่า การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ทั้ง 2 ชาติ ไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนขั้วอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้ ไทย และมาเลเซีย กําลังอยู่ระหว่างการสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ BRICS ที่เป็นการรวมตัวกันของตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้นเอง

@@@…….อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่นักวิเคราะห์ด้านการเมืองระหว่างประเทศรายงานว่า ประเทศญี่ปุ่นได้เฝ้ามองการพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ BRICS ของไทย และมาเลเซีย อย่างใกล้ชิดนั้น ฝ่ายความมั่นคง มองว่า กรณีดังกล่าวเป็นประเด็นที่สะท้อนถึงความกังวลในเชิงยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น และพันธมิตรชาติตะวันตกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอํานาจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริบทของ BRICS ในเวทีระหว่างประเทศที่ประกอบไปด้วย ประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ซึ่งแต่ละประเทศมีความเป็นชาติมหาอํานาจ หรือมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสำหรับตลาดเกิดใหม่ที่กําลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความเร่งการขยายสมาชิกภาพเพื่อครอบคลุมประเทศอื่นในภูมิภาคต่างๆ จึงมีนัยสําคัญต่อการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจ และการเมืองที่อาจท้าทายอิทธิพลของขั้วอํานาจเดิม เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เป็นต้น

@@@…….โดยที่ ญี่ปุ่น อาจกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงสมดุลทางการทูตนี้ อาจทําให้บทบาทของตนอ่อนแอลง จนส่งผลกระทบ ต่อความสามารถในการรักษาเสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อการจัดวางตําแหน่งทางยุทธศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่จะต้องพิจารณาการรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอํานาจทั้งสอง ขณะที่การขยายตัวของ BRICS และความกังวลของ ญี่ปุ่นอาจนําไปสู่การแข่งขันทางการทูต และการเสนอข้อตกลงทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดประเทศในภูมิภาคให้เข้ามาอยู่ในขั้วของตนมากขึ้น ซึ่งญี่ปุ่น และพันธมิตรชาติตะวันตก พยายามเพิ่มการมีส่วนร่วมในโครงการความช่วยเหลือ และการลงทุนในไทย และมาเลเซียมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของอิทธิพลในภูมิภาคนี้ต่อไป 

@@@…….ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของไทย และมาเลเซีย จึงถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ที่จะมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในระดับโลกอย่างมีนัยสําคัญ แต่ก็ยังมิได้แปลว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างไทย และประเทศญี่ปุ่น หรือความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน กับประเทศญี่ปุ่น จะเปลี่ยนไปในเชิงลบแต่อย่างไร ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ BRICS จะส่งผลดีต่อความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้นโดยไม่กระทบต่อตลาดโลกในเชิงลบ แต่กลับจะทำให้ตลาดสินค้า และบริการในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เติบโตขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพไปพร้อมกับขั้วอำนาจเศรษฐกิจเดิม อันจะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ส่งผลดีต่อธุรกิจของญี่ปุ่นที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต และลดการผูกขาดในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดีมาพร้อมอีกด้วย ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นอะไรที่น่ากังวลแต่อย่างไร 

@@@…….ที่กระทรวงกลาโหม….พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า จากรายงานผลการปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.-12 ต.ค.67 ได้รายงานถึงภาพรวมของสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ ซึ่งส่งผลกระทบในพื้นที่จำนวน 58 จังหวัด และขณะนี้ยังคงมีจังหวัดที่ประสบภัยอยู่ 17 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยมีจำนวน 41 จังหวัดที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟูแล้ว โดย ศปช. ได้มอบให้ กระทรวงกลาโหมบูรณาการดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาจากเหตุอุทกภัยพร้อมมอบภารกิจเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

@@@…….ในการนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม จึงได้กำชับเหล่าทัพในการบูรณาการระหว่าง กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ  เร่งระดมกำลังพล และยุทโธปกรณ์ตามการแบ่งมอบหน้าที่ ในการสำรวจพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อเตรียมการช่วยเหลือประชาชนกันทีเมื่อเกิดภัยในพื้นที่ ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมถึงการฟื้นฟู ทำความสะอาด และขุดตักดินโคลนที่ทับถมบ้านพักอาศัย รวมทั้งพื้นที่สาธารณะให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ (อำเภอสารกี และอำเภอเมืองเชียงใหม่) และจังหวัดเชียงราย (ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย) รวมถึงมอบถุงยังชีพ สิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภค พร้อมน้ำดื่มให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารกี จังหวัดเชียงใหม่เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนในขั้นต้น

@@@…….พร้อมกันนี้ให้ร่วมกับส่วนราชการในจังหวัดนนบุรี มอบถุงยังชีพ สิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภคให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ชุมชนท่าน้ำปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และร่วมกับส่วนราชการในจังหวัดปทุมธานี บรรจุและขนย้ายกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากเป็นเส้นทางมวลน้ำไหลจึงส่งผลให้ระดับน้ำเจ้าพระยายังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งทำแนวคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันพื้นที่บ้านเรือนประชาชน พื้นที่เศรษฐกิจ พร้อมจัดกำลังพลเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง 

@@@…….กองทัพบก….พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานกองทัพบก ได้เดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและความคืบหน้าในการเตรียมการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์อุทกภัย ณ เทศบาลตำบลบางขะแยง อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่มีความเสี่ยง เนื่องจากมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจได้รับผลกระทบเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น โดยผู้บัญชาการทหารบกได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยและการเตรียมการช่วยเหลือประชาชนจากมณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เสี่ยง รวม 7 จุด และกองพันทหารสื่อสารที่ 13 กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ 14 ตำบล ใน อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี จากนั้นได้เยี่ยมให้กำลังใจและมอบน้ำดื่มให้กับกำลังพลจิตอาสาและประชาชนจิตอาสาที่ได้ร่วมกันกรอกกระสอบทรายภายในอาคารโดมเอนกประสงค์ เทศบาลตำบลบางขะแยง เพื่อเตรียมนำไปวางเป็นแนวกั้นน้ำบริเวณรอบจุดเสี่ยงในพื้นที่ 

@@@…….จากนั้นผู้บัญชาการทหารบก เดินทางตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกำลังพลจิตอาสาในการวางแนวกระสอบทรายบริเวณใต้สะพานนวลฉวี ซึ่งได้ดำเนินการเรียงกระสอบทรายสูง 3 ชั้น หนา 10 แถว เป็นระยะทาง 50 เมตร และบริเวณท่าเรือสปีดโบ๊ท ซึ่งได้ดำเนินการเรียงกระสอบทรายสูง 3 ชั้น หนา 2 แถว เป็นระยะทาง 110 เมตร นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านประชาชนกลุ่มเปราะบางจำนวน 2 ราย ในพื้นที่ ต.บางขะแยง อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงวัยชราและมีอาการแขนขาอ่อนแรง เพื่อมอบของอุปโภคบริโภคและสอบถามความเป็นอยู่ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนต่อไป

@@@…….ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทัพบกได้จัดกำลังพลจิตอาสาของหน่วยพร้อมด้วยยุทโธปกรณ์ต่างๆ บูรณาการร่วมกับเทศบาลตำบลบางขะแยงและประชาชนจิตอาสาเพื่อเตรียมความพร้อมในหลายด้าน อาทิ การประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังนอกแนวคันกั้นน้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา, การเตรียมจัดตั้งโรงครัวพระราชทานและศูนย์ช่วยเหลือประชาชน, การจัดรถรับส่งประชาชน, การจัดทำสะพานไม้เพื่อให้ประชาชนสัญจรได้อย่างสะดวก และร่วมกับประชาชนจิตอาสาในการบรรจุทรายลงในกระสอบเพื่อนำไปวางเป็นแนวกั้นน้ำ ทั้งนี้ กองทัพบกจะยังคงจัดกำลังพลจิตอาสาเข้าสนับสนุนส่วนราชการในการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ควบคู่กับการ เตรียมการรับมือและช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนในทุกมิติจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย  

@@@…….กองทัพเรือ…พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางตรวจการเตรียมความพร้อมซ้อมใหญ่ครั้งแรก ของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร โดยมี พล.ร.อ.วิจิตร  ตันประภา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดเตรียมความพร้อมขบวนเรือพระราชพิธี (ประธาน คตร.) ร่วมคณะ โดยผู้บัญชาการทหารเรือและคณะได้เดินทางตรวจความพร้อมของเรือพระราชพิธี ณ อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ ก่อนเดินทางไปดูการจัดเตรียมสถานที่ บริเวณห้องชมวังอาคารราชนาวิกสภา พื้นที่หอประชุมกองทัพเรือ และวัดอรุณราชวราราม 

@@@…….โดยในช่วงบ่าย พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เข้าร่วมการฝึกซ้อมใหญ่เป็นครั้งแรก ของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ ท่าวาสุกรี ซึ่งการฝึกซ้อมใหญ่ครั้งแรกเป็นการปฏิบัติเสมือนจริง ตามเวลาในวันพระราชพิธีจริง คือเวลา 15.00 น. โดยขบวนเรือพระราชพิธีได้เคลื่อนออกจากท่าวาสุกรี ซึ่งเป็นจุดตั้งขบวน บริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย มุ่งหน้าไปทาง พระบรมมหาราชวัง สิ้นสุดที่ท่าวัดอรุณราชวรามราม ระยะทาง 3.9 กิโลเมตร ซึ่งขบวนเรือพระราชพิธีมีจำนวนเรือทั้งสิ้น 52 ลำ ในจำนวนนี้มีเรือพระที่นั่ง 4 ลำ คือ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรืออัญเชิญผ้าพระกฐินประดิษฐานเหนือบุษบก ลำที่ 2 เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่ประทับ เรือลำที่ 3 เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือที่ประทับของพระบรมวงศ์ และเรือลำที่ 4 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งสำรอง

@@@…….การซ้อมใหญ่เสมือนจริงในวันนี้ใช้เรือพระราชพิธีจำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ ความยาว 1,280 เมตร กว้าง 90 เมตร โดยใช้กำลังพลประจำเรือในขบวนเรือพระราชพิธี จำนวนทั้งสิ้น 2,399 นาย การฝึกซ้อมขบวนเรือพระราชพิธีเป็นการจัดรูปขบวนตามรูปแบบโบราณราชประเพณีทุกประการ โดยการซ้อมใหญ่จะมีขึ้นอีก 1 ครั้ง ในวันที่ 22 ต.ค. 2567 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังพลฝีพายและทุกภาคส่วน รวมถึงเพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ ทั้งนี้ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร กำหนดขึ้นในวันที่ 27 ต.ค. 2567 

@@@…….กองทัพอากาศ โดยกองบิน 41 ร่วมกับ บริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด เปิดจุดซ่อมรถจักรยานยนต์ฟรี เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากผลกระทบของอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจัดกิจกรรมต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลท่าศาลา รวมถึงน้องๆ นักศึกจากวิทยาลัยเทคโนโลยีเมโทร และวิทยาลัยเทคนิคสันกำแพง ร่วมกันซ่อมรถจักรยานยนต์ให้พี่น้องประชาชน ณ เทศบาลตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีประชาชนได้นำรถจักรยานยนต์เข้ามาซ่อมเป็นจำนวนมาก โดยเปิดรับจองคิวซ่อมรถจักรยานยนต์วันละ 20 คัน และจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้ – 20 ต.ค. 2567 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น.

…………………….

คอลัมน์  : “Military Key”

โดย..รหัสมอร์ส

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img