คมนาคมเตรียมเสนอครม. แก้สัญญาร่วมทุนรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน 29 ต.ค.นี้ หากครม.ไฟเขียวคาดลงนามกับเอเชียเอราวัน จำกัด ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ลุยตอกเสาเข็มก่อสร้างงานไตรมาส 1/68
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟเชื่อม 3 สนา่มบินว่า การแก้ไขสัญญาร่วมทุนให้บริษัท เอเชีย เอราวัน ซึ่งเป็นกลุ่มของซีพี เพราะผลกระทบโควิด-19 ทำให้โครงการล่าช้าทำให้ภาครัฐส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนไม่ได้ ขณะที่เอกชนก่อสร้างไม่ได้จึงถือว่าต่างคนต่างผิดสัญญา ทำให้เป็นที่มาของการพิจารณาแก้ไขสัญญา เพื่อไม่ให้รัฐเสียประโยชน์ โดยสัญญาเดิมให้เอกชนสร้างจนเสร็จ และหลังจากนั้น 10 ปีรัฐบาลจึงชำระเงิน ขณะที่สัญญาใหม่จะให้เอกชนนำเงินมาวางค้ำประกันจากธนาคารเพื่อการันตี และภาครัฐจะทยอยจ่ายคืนเงินค้ำประกัน ในส่วนที่ก่อสร้างเสร็จ แต่ละช่วงจะแบ่งเป็นแต่ละสัญญา และหากทิ้งงานรัฐจะนำเงินค้ำประกันไปจ้างผู้รับเหมารายใหม่
“การแก้สัญญาไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ โดยเอกชนต้องผู้รับผิดชอบดอกเบี้ย และการแก้สัญญาผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดจึงการันตีว่าไม่เอื้อประโยชน์ โดยขั้นตอนจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะเป็นผู้เสนอ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเป็นผู้รับผิดชอบ”
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า ที่ประชุม กพอ.เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมาได้สรุปแนวทางการแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเห็นชอบปรับเปลี่ยนแนวทางการโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) คาดว่าเสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 29 ต.ค.67
อย่างไรก็ตาม หาก ครม.มีมติให้แก้สัญญาร่วมลงทุนจะเข้าสู่ขั้นตอนส่งร่างแก้ไขสัญญาให้สำนักงานอัยการตรวจอีกครั้งก่อนลงนาม และจะลงนามกับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ขณะเดียวกัน ร.ฟ.ท.จะเร่งออก NTP ทันทีเมื่อลงนามเสร็จจึงคาดว่าเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างงานได้ไตรมาส 1 ปี 68
สำหรับโครงการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา หาก ครม.เห็นชอบปรับเปลี่ยนแนวทางโครงการ โดยให้ยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนตามมติ ครม.วันที่ 30 ต.ค.61 ซึ่งให้สิทธิ์บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายเดียวและปรับเป็นให้ สกพอ.เปิดกว้างจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน คาดว่าจะเริ่มจัดหาเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในเดือน ธ.ค.67
ทั้งนี้ การเปิดกว้างจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุจะดำเนินการตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 61 และระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การเช่าที่ดินราชพัสดุที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ 62 ซึ่งคาดว่ามีเอกชนทั้งไทยและต่างชาติสนใจเช่าพื้นที่ดำเนินกิจการนี้จำนวนมาก
“โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานจำเป็นต้องปรับแนวทางโครงการ เพราะการบินไทยพ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปี 63 ทำให้ไม่สามารถเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการศูนย์ซ่อมได้ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ สกพอ.ขอคืนพื้นที่ศูนย์ซ่อมของการบินไทยในสนามบินอู่ตะเภา ดังนั้นจำเป็นต้องจัดสรรพื้นที่ให้การบินไทยกลับมาดำเนินกิจกรรมบริเวณนี้ด้วย”
เบื้องต้น สกพอ.จะเจรจาและทำสัญญาให้เข้ามาพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภาบนพื้นที่ส่วนหนึ่งของโครงการทั้งหมดนี้ เพื่อทดแทนพื้นที่เดิม เพราะโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานมีความจำเป็นอย่างมากต่อธุรกิจการบิน และหากการบินไทยยังคงเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้ ก็จะทำให้ศูนย์ซ่อมอากาศยานในอู่ตะเภามีเจ้าของเป็นคนไทยด้วย
ทั้งนี้ สกพอ.คาดว่าจะเจรจากับการบินไทยและได้ข้อสรุปเพื่อทำสัญญาเช่าพื้นที่ได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ส่งผลให้โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานของการบินไทยน่าจะเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 1 ปีหน้า เนื่องจากปัจจุบันทราบว่าการบินไทยมีความพร้อมด้านเงินลงทุน อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจาจัดหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาร่วมทุนในโครงการนี้ด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า การแก้ไขสัญญาร่วมทุนของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีนายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานเห็นชอบแก้ไขสัญญา 5 ประเด็น คือ
1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง รัฐจะแบ่งจ่าย 149,650 ล้านบาท ปรับเป็นลักษณะสร้างไปจ่ายไป โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิมรวมเป็น 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดบริการรถไฟความเร็วสูงได้ภายใน 5 ปี โดยกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของรัฐทันทีตามงวดการจ่ายเงิน
สำหรับการวางหลักประกันนั้น เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้แต่เมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที
2.กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ 10,671 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่ากัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้เอกชนต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท.ต้องรับภาระ
3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดอย่างมีนัยสําคัญ และทำให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกัน
4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท.ออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมด
5.การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น