ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” เกาะติดรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม คาดอยู่ที่ระดับ 2.6% หากสูงกว่าคาดทำให้เฟดเบรกลดดอกเบี้ย รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.85 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 34.73-34.90 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่ในช่วงวันก่อนหน้า เงินบาทได้เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 34.65 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ได้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 34.85-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับก่อนหน้า เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ทองคำบ้าง ทว่า เงินบาทก็กลับมาอ่อนค่าลงบ้างในช่วงดึก ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากมุมมองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า Dot Plot พอสมควร นอกจากนี้ มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดยังหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้น ทะลุโซน 4.40% ได้อีกครั้ง และการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็กลับมากดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงกลับสู่โซนแนวรับ 2,590-2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงกดดันจากการขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม Trump Trades โดยเฉพาะ Tesla -6.2% ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นเทคฯใหญ่ อาทิ Nvidia +2.1% ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.29%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงหนัก -1.98% ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล Trump 2.0 ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและยุโรป นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในช่วงระยะสั้นก็ออกมาไม่สดใสนัก เช่นเดียวกันกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่างดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน (ZEW Economic Sentiment) เดือนพฤศจิกายน ก็ออกมาแย่กว่าคาดพอสมควร
ในส่วนของตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังคงปรับตัวสูงจนทะลุโซน 4.40% อีกครั้ง ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 อาจส่งผลให้เฟดทยอยลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot พอสมควร ตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็อาจชะลอลงช้า หรือเร่งตัวขึ้น
ทั้งนี้คงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ป สหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นเข้าสู่โซนที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาส ในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจปรับตัวขึ้นหรือลดลงราว 50bps (0.5%) ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเชิงของผลตอบแทนรวม (Total Return) การทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรนั้น ก็ยังมี Risk-Reward ที่น่าสนใจ ทำให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯซึ่งมีส่วนเร่งการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จนเกือบแตะโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯกับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น และแม้ว่าเงินดอลลาร์จะยังได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า Dot Plot
ล่าสุด ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 106 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.7-106.2 จุด) ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่เราได้ประเมินไว้ในบทวิเคราะห์ค่าเงินบาทเดือนพฤศจิกายน สำหรับกรณี Republican Trifecta ทำให้เราประเมินว่า เริ่มมีโอกาสที่เงินดอลลาร์อาจเริ่มชะลอการแข็งค่าขึ้นและทยอยแกว่งตัวในกรอบ Sideways ได้ ในส่วนของราคาทองคำ
แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นทะลุโซน 2,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็ยังคงกดดันให้ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ และแกว่งตัวแถวโซน 2,600-2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจพอเป็นแนวรับระยะสั้นได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจยังคงอยู่แถวระดับ 2.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ก็อาจยังอยู่แถว 3.3% ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลมากขึ้นว่า เฟดอาจยิ่งชะลอการลดดอกเบี้ยและอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุดพอสมควร ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุด
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นยังคงมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะหลังเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (หากเงินบาทยังสามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสอ่อนค่าได้ถึง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี จากการประเมินการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ อีกทั้งฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในช่วงหลังตลาดรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2016 (Trump 1.0) ซึ่งผลการเลือกตั้งก็คล้ายกับภาพในปัจจุบัน ทำให้เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ นอกจากนี้เรามองว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มชะลอลง โดยล่าสุด เริ่มเห็นการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยบ้างจากนักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ หากราคาทองคำยังพอมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นได้ ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ควรระวังแรงกดดันเงินบาทจากการอ่อนค่าของเงินหยวนจีน (CNY) ในระยะสั้นเช่นกัน เนื่องจากในช่วงนี้ เงินหยวนจีนได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมากพอสมควร (Correlation 30 วัน สูงราว 83%) ซึ่งเงินหยวนจีนก็อาจยังคงถูกกดดันจากความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนจากนโยบายรัฐบาล Trump 2.0 ได้ จนกว่าตลาดจะมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนมากขึ้น ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีนในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เพราะหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของ Core CPI ไม่ได้ชะลอลงชัดเจน หรือปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด ก็อาจยิ่งกดดันให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าใน Dot Plot หนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ทว่า ภาพดังกล่าวก็รับรู้โดยผู้เล่นในตลาดไปมากแล้ว ทำให้เรากังวลในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจชะลอลงกว่าคาด ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้ กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลง
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.65-35.00 บาทต่อดอลลาร์ (ความระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)