‘ทักษิณ’ ดินเนอร์ทอล์ค ‘ฟอรบส์’ ประกาศ ขออยู่บนดิน ไม่เอาแล้วตกนรก-ขึ้นสวรรค์ บอกอายุ 75 ปี ไม่มีอิทธิพลแล้ว ชี้ ‘แพทองธาร’ คือ ‘ทักษิณเวอร์ชั่น 2’ ไม่ตื่นเต้น ศาลรธน.เคาะรับไม่รับคำร้องล้มล้างการปกครองฯ พรุ่งนี้ บอกแค่รอฟัง ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ขอย้อนอดีต แต่ไม่ใช่ “Moving Forward”
วันที่ 21 พ.ย.67 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน Gala Dinner and Session XVII In Conversation พร้อมร่วมสนทนากับ Steve Forbes, Chairman and Editor-in-Chief, Forbes Media ซึ่งมีภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ของประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก อย่าง เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ , นายสารัชถ์ รัตนาวะดี , นายฐาปน สิริวัฒนภักดี
นายสตีฟ ได้กล่าวแซวนายทักษิณว่า ชอบกินไก่ KFC ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะของแขกที่ร่วมงาน จากนั้นนายทักษิณ ได้กล่าวถึงประสบการณ์การทำงาน 25 ปีที่ผ่านมาว่า ‘มีนรกและสวรรค์’ ชีวิตตนเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์ และผ่านความยากลำบากมาอย่างมากมาย ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ และตนเห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ในการดำเนินธุรกิจ ก่อนที่จะกระโดดลงมาเล่นการเมือง เพราะทุกครั้งที่ตนลงไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดก็เห็นคนยากจน ไปกี่ครั้งก็เป็นเหมือนเดิม ตนจะคิดว่านอกจากจะช่วยตัวเองและครอบครัวแล้ว ทำไมจึงไม่ช่วยคนที่มีน้อยกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเล่นการเมือง ซึ่งในช่วงต้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเห็นสวรรค์ในทางการเมือง ส่วนนรกนั้นตามมาทีหลัง
“นรก-สวรรค์ คือชีวิตของตน มีขึ้นและมีลง และตอนนี้คิดว่าอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ไม่เอานรก”
นายทักษิณ กล่าวถึงพรรคร่วมรัฐบาล ว่า รัฐบาลผสมมีพรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องมีข้อตกลงร่วมกันในการทำหลายสิ่ง แต่บางเรื่องอาจจะไม่ได้เห็นรัฐบาลผสม ซึ่งโชคดี เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่ในรัฐบาลผสมด้วยกันในขณะนี้ เคยทำงานร่วมกับตนตอนที่ตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541 และกลายเป็นรัฐบาลในปี 2544 และคนที่เป็นตัวหลักส่วนใหญ่ ก็เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของตน ความร่วมมือ และความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลถือว่ายังดีอยู่ และอีกหนึ่งสิ่ง นายกรัฐมนตรีหน้าตาคล้ายตน คงรู้สึกคุ้นเคย และเคยทำงานกับตน แต่อาจจะเป็น ‘เวอร์ชั่นที่ 2’
ส่วนที่ตกเป็นเป้าทางการเมือง และวันพรุ่งนี้ศาลรัฐธรรมนูญ จะอ่านคำวินิจฉัยรับหรือไม่รับคำร้อง มีวิธีจัดการอย่างไรต่อจิตใจไม่ให้ตกไปสู่นรกอีก นายทักษิณ ระบุว่า ตนผ่านจุดนี้มาบ่อยๆ ผ่านมาหลายสิ่ง อย่างที่บอกว่าเห็นทั้งนรกและสวรรค์ ไม่มีอะไรที่ทำให้ตนนั้นตื่นเต้น และพรุ่งนี้เขาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน ตนก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไร ก็แค่รอรับฟังคำตัดสิน เพราะต้องมองไปข้างหน้า เราไม่ย้อนกลับไปในอดีต ไปข้างหน้าแต่ไม่ใช่ moving forward นะ ซึ่งเรียกเสียงปรบมือได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำที่นายทักษิณใช้คำว่า moving forward ตรงกับพรรคก้าวไกล moving forward party
ขณะเดียวกัน นายทักษิณ ยังกล่าวว่า ตนชอบเวลาไปวัดสงบจิตใจไปไหว้พระ ไปสักการะพระพุทธรูปและกลับมานอนหลับฝันดี ส่วนทางที่จะไปอาจจะมีหมาเห่า คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไมมันถึงเห่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหมา ก็ไปนอนซะ ก็จะมีจิตใจที่สงบ
และตอนหนึ่ง นายทักษิณ ยังเล่าถึงการจากประเทศไทยว่า ในช่วง 17 ปีที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดน จำเป็นมากๆที่ต้องรักษาความสงบในจิตใจ ถ้าหากคิดลบกับตัวเอง คงอยู่มาถึงไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ และ 17 ปีที่ผ่านมาตนไปแทบทุกประเทศยกเว้นแคริบเบียน และไม่ว่าตนจะไปที่ใด ตนต้องมีธุรกิจที่จะไปทำ และการพักผ่อนเป็นเพียงแค่ส่วนเสริม ฉะนั้นตนจึงไม่ไปทะเลแคริบเบียน เพราะการไปพักผ่อนไม่ใช่หัวใจและข้อสำคัญในชีวิตของตน พร้อมเปรียบว่า ตนนั้นเกิดปีวัว ทำงาน ทำงาน ทำงาน อย่างเดียว และตอนนี้อายุ 75 แล้วบางวันยังต้องทำงาน 14 ชั่วโมงอยู่เลยและตอนนี้ตนมีเงินเดือนตอนนี้ 700 บาท คือ เงินค่าอุดหนุนผู้สูงอายุ
นายทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่เคลื่อนไปข้างหน้า รัฐบาลทหารและธนาคาร คิดว่าเราไม่ควรสร้าง ติดตั้งแต่วิกฤตปี 40 ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามปกป้องธนาคารพาณิชย์ออกพันธบัตร ทำให้ GDP ของประเทศโตน้อยกว่าประเทศอื่น ซึ่งเป็นที่เป็นเหตุผลว่าเหตุใด ไทยจึงเติบโตน้อยกว่าที่อื่น ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะทำอย่างไรนั้น ต้องดูสถานการณ์ของสกุลเงินและอีกหน้าที่คือดูแลธนาคารพาณิชย์ บางทีก็งงกับบทบาทปกป้องธนาคารพาณิชย์มากเกินไป ซึ่งในอดีตธนาคารพาณิชย์ ใช้ Concept จับมือที่ลูกค้าที่มีปัญหา แต่ปัจจุบันกลับใช้การเก็บเงินสำหรับคนที่อยู่รอด ซึ่งแนวคิดเปลี่ยนไปจากในอดีต ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามนำตัวสภาพคล่องออกมาจากธนาคารพาณิชย์ จึงเป็นสาเหตุว่าเหตุใดรัฐบาลจึงพยายามเอาทุนลงไปในระบบเพิ่มขึ้น ผ่านโครงการดิจิทัล wallet ซึ่งก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในบ่อน้ำพวกเขา ตราบใดที่มีน้ำก็ว่าได้ วางไข่ได้ แต่ถ้าไม่มีน้ำก็ไม่สามารถวางไข่ได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรเป็นอิสระ รัฐบาลควรจะมีส่วนร่วมมากขึ้น แม้ว่าจะมีอิสระ แต่ต้องฟัง
พร้อมกับยังระบุว่า ส่วนใหญ่คนของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนักเรียนที่ดี เป็นนักเรียนเกรด A ทั้งหมด เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้ A ทุกวิชา ก็เลยเชื่อว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว ซึ่งไม่จริงแต่ต้องมีประสบการณ์
นายทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า bitcoin เป็นเรื่องหนึ่งและ stable Coin เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนกล่าวว่าทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลเคยพูดคุยกับตน ถึงความเป็นไปได้ว่าเราจะออก stable Coin ที่มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวสนับสนุนเพื่อให้มีสภาพคล่อง ซึ่งขณะนี้กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างจริงจัง
นายทักษิณ ยังกล่าวปัจจุบันเรามีการแข่งขันกับจีน ซึ่งจีนมีกำลังการผลิตมาก ต้นทุนจึงต่ำซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการคิดถึงความคิดสร้างสรรค์ โดนการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ดังนั้นจึงควรมองหาธุรกิจ ในแง่ที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยขยายให้เราเติบโต ไม่ใช่เหมือนในอดีต ที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ได้อะไร ไม่สามารถแข่งอะไรกับจีนได้เลย รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องปกป้องผู้ผลิตรายย่อยและผู้ผลิตท้องถิ่น ซึ่งตนคิดว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งให้ Application จากต่างประเทศที่จะขายสินค้าในประเทศไทย ต้องลงทะเบียนเพื่อเสียภาษี หาก Application ใดไม่เสียภาษีก็จะต้องสั่งปิด รวมถึงของที่จะส่งมาจะต้องมี มาตรฐานเดียวกับสินค้าที่ผลิตในไทย และได้มาตรฐานอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันนายทักษิณ ยังระบุว่าทีมเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี กำลังคิดทีาจะปฏิรูปภาษี โดยการลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และภาษีนิติบุคคลให้สามารถแข่งขัน และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น แต่จำเป็นจะต้องมีระบบที่สามารถคืนเงินภาษีให้กับคนทั่วไป และคนที่มีรายได้น้อยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทีมเศรษฐกิจได้กล่าวกับตนว่าจะมีการทำแบบเป็นระยะ พร้อมกับระบุว่า ในทุกวันนี้หากต้องการได้เก็บภาษีเพิ่มจะต้องขอให้น้อยลง เพราะหากขอมากขึ้นการจัดเก็บภาษีจะได้น้อย พร้อมยกตัวอย่างสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถจัดเก็บได้ตามเป้า ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้าไม่สามารถทำได้เลย เพราะเขาไม่กล้าลดภาษี
เมื่อถามว่า ถ้าจะไปกิน KFC กับ ประธานาธิบดี ทรัมป์ จะแนะนำอะไร นายทักษิณ กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามจะลดภาษีในประเทศ แต่เพิ่มภาษีการนำเข้า เห็นว่าจะเพิ่ม 60% ในฝั่งสินค้าจากจีน มันเกินดุลเกินไป และตนคิดว่าอเมริกาคงผลิตไม่ได้ทุกอย่าง ต้องนำเข้าบางอย่าง กลายเป็นว่าผู้บริโภคต้องเป็นคนจ่ายเพิ่มตรงนี้ ดังนั้น การที่เรามีนโยบายกีดกันทางการค้าภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ แนวคิดแบบนี้น่าจะรุนแรงพอสมควร ซึ่งมันเหมือนถอยหลังไป 50 ปีที่แล้ว และถ้ามองโลกเป็นพื้นที่ของเรา การกีดกันทางการค้ามันไม่ควรมี
แต่พิธีรีบแซว ดูเหมือนว่าคุณจะซึมซับหลักคิดของ Adam Smith ตั้งแต่ 200 ปีที่แล้วมาโดยตรง หากจะให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ละ นายทักษิณ รีบปฏิเสธว่า “ผมแก่ไปแล้ว อายุผม 75 แล้ว”
ขณะที่อาเซียน นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องรวมให้เป็นหนึ่งไม่ใช่หมายถึงประเทศแต่มันหมายถึงนโยบาย รวมไปถึงเชิงประชากรและทรัพยากร ซึ่งตอนที่ตนเป็นนายกฯก็เริ่มทำสิ่งนี้ มีการค้าเสรีในระหว่างประเทศอาเซียน มีการผลิตจากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง ด้วยภาษีที่ต่ำมากๆ ส่วนเอเปค ตอนนี้มันไม่ตื่นเต้นแล้ว ด้วยความที่ขนาดของเศรษฐกิจในประเทศสมาชิก บางประเทศก็จนมาก บางประเทศก็รวย มันเป็นความแตกต่าง และการที่มันไม่สามารถสร้างการตกลงใดๆได้ การประชุมนานาชาติไม่สามารถลงมติได้ มันก็ไม่สามารถเติบโตได้ เพราะฉะนั้นตนคิดว่าเอเปคถึงจุดนั้นแล้ว
เมื่อถามถึงเรื่อง”คอคอดกระ” นายทักษิณ กล่าวว่า ตนคิดว่า ไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะจะมีปัญหากับพื้นที่ภาคใต้ แต่เราได้ทำโครงการแลนด์บริดจ์ไปแล้ว โดยเราจะต้องมีการเปิดการสนทนาในทางเศรษฐกิจ จะต้องคุ้มค่าและประเทศหลายประเทศต้องสนใจ แต่รัฐบาลเราจะไม่ลงทุนเอง จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการค้า ภายใต้ประโยชน์ของประเทศชาติ
เมื่อถามว่ามีแรงบันดาลใจจากผู้นำท่านใดหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่าไม่มีท่านใดที่สร้างแรงบันดาลใจเป็นท่านเดียวหรือเป็นไอดอล ตอนที่ตนได้มาเป็นนายกฯรัฐมนตรีตนชอบ “ลี กวน ยู” เพราะเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงมาก มีความรู้และนี่เป็นสไตล์ที่ตนชอบ ส่วน “มหาเธร์” ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพมากเลย และตอนนี้ท่านอายุ 99 ปี ยังมีอิทธิพลอยู่ แต่ตนอายุ 75 ปีไม่มีอิทธิพลอะไรแล้ว
นายทักษิณ กล่าวว่า ตนมองว่า อีก 5 ปีข้างหน้าเมืองไทยจะทำงานใน 2 ขา ขาแรกคือ Soft Power มันคือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อีกขาเราจะจับคลื่น AI เป็นศูนย์กลาง Data Center และดึงมาเป็นดิจิทัล Embassy เปรียบเสมือนพื้นที่ 1 ที่มี Data Center เชื่อมกับทุกประเทศ เหมือนเป็นสถานทูตทั่วโลกมาอยู่ที่นี่