ถูก นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” เบรกกลางโซเชียลฯ ไม่ขานรับแนวคิด การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบัน 7% เป็น 15% เข้าไป อันเป็นท่าทีของนายกฯที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจอเข้าไป แบบนี้ “ขุนคลัง-พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี-รมว.คลัง ที่แก่พรรษากว่านายกฯมาก คง “หน้าชา” ไปเลย
เพราะแม้นายกฯจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องความเป็นไปได้ ที่อนาคตอาจมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่การประกาศเป็นประเด็นแรกว่า “ไม่เอาด้วยกับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15%” โดยที่ไม่ได้บอกว่า จะขอปรึกษาหารือกับรมว.คลังก่อน ว่ามีเหตุผลใดถึงโยนหินถามทางเรื่องนี้ออกมา
ที่มองมุมหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า “นายกฯแพทองธาร” ก็ดูจะ “ไม่ให้เกียรติทางการเมืองกับขุนคลัง” เท่าใดนัก เลยรีบชิงออกมาปัดเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะรู้ดีว่า หากไม่รีบทำความชัดเจนให้ปรากฏต่อสาธารณะโดยเร็ว จะมีผลต่อ “เรตติ้ง-คะแนนนิยม” ของ “นายกฯ-รัฐบาลเพื่อไทย” แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชน-ภาคธุรกิจ ทั่วประเทศ เกิดความกังวลใจที่จะเจอผลกระทบเข้าไปเต็มๆ หากมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มพรวดเดียว จาก 7 เป็น 15% เพราะคนเสนอไอเดีย “ไม่ใช่ไก่กาที่ไหน” ในพรรคเพื่อไทย แต่เป็นระดับ “รองนายกฯ-รมว.คลัง”
กระแสไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของขุนคลังในรัฐบาล เลยทำให้ “นายกฯแพทองธาร” ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม เบรกแนวคิดดังกล่าวทันที
แต่ปฏิกิริยาทางการเมืองดังกล่าวของนายกฯ มันก็สะท้อนให้เห็นว่า “นายกฯแพทองธาร” ให้น้ำหนักเรื่อง “ความนิยมทางการเมือง” ที่มีต่อรัฐบาลและตัวนายกฯ มากกว่าความรู้สึกของทีมงานใน ครม.
สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็น “บทเรียนทางการเมือง” ของ “พิชัย” พอสมควรในเรื่อง การสื่อสารทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง-เศรษฐกิจ ที่จะสร้างอิมแพคตามมาสูง ตัว “ขุนคลัง” ต้องนิ่งและรู้ทิศทางลมการเมืองมากกว่านี้ เพราะแม้ต่อให้เรื่องนี้อาจเป็นแนวคิดการโยนหินถามทางที่ “ขุนคลัง” อาจมีการส่ง signal ไปยัง “จันทร์ส่องหล้า” ก่อนแล้ว ถึงโยนไอเดียนี้ออกมา ซึ่งไม่ว่าฉากหลังจะเป็นอย่างไร แต่การที่ “ขุนคลัง-ตัวหลักทีมเศรษฐกิจรัฐบาล” เสนอแนวคิดอะไรไปแล้ว สังคมไม่ขานรับไม่พอ-แรงต้านยังแรง แถม “หัวหน้ารัฐบาล” ก็ไม่ขานรับ
ภาพที่ปรากฏ “ขุนคลังพิชัย” มีแต่ “เสียกับเสีย” โดยเฉพาะ “เครดิต-ความน่าเชื่อถือ” ที่ทำให้ต่อไปเวลาจะเสนอแนวคิด-ไอเดียทางเศรษฐกิจอะไรต่างๆ ออกมา ก็จะถูกตั้งคำถามตามมาว่า “เรื่องนี้หารือ-คุยกับนายกฯหรือยัง? หรือเป็นความคิดส่วนตัว หรือเป็นนโยบายรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลเอาด้วยหรือไม่ รัฐมนตรีคนอื่นเอาด้วยหรือไม่?” เป็นต้น เลยจะกลายเป็นคนที่ต่อไปเวลาสื่อสารอะไรออกมา น้ำหนักจะลดลงไปทันที หลังเกิดกรณีถูกนายกฯเบรกขึ้น VAT 15% ดังกล่าว
สำหรับตัว “พิชัย-รมว.คลัง” ก่อนหน้านี้ หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากนายกฯไปเมื่อ 14 ส.ค. จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และมีการตั้ง “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร”
ช่วงตั้งครม. ก็มีข่าวว่า “พิชัย” จะไม่ได้กลับเข้ามาเป็นรมว.คลังอีกรอบ โดยตอนนั้นก็มีหลายชื่อปรากฏออกมา ว่าจะขึ้นมาเสียบแทน เช่น “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” ประธานบอร์ดสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เข้ามารับตำแหน่งในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่า มาช่วยงานพรรคเพื่อไทยนานแล้ว
บ้างก็ลือว่า อาจพาสชั้น “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง ขึ้นเป็นรมว.คลังแทน แต่สุดท้าย “พิชัย” เก้าอี้ยังเหนียว ยังได้กลับมาเป็น “รมว.คลังควบรองนายกฯ” อีกรอบ ถือว่าไม่ธรรมดา
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เป็นเพราะ “จันทร์ส่องหล้า” ยังหาคนมาเป็นที่ถูกใจไม่ได้ อีกทั้งก็ต้องการให้ “พิชัย” ทำงานในกระทรวงการคลังให้ต่อเนื่อง จากสิ่งที่ทำค้างไว้ตอน “รัฐบาลเศรษฐา” จึงไม่อยากเปลี่ยนตัว โดยเฉพาะการสานต่อเรื่อง “นโยบายการแจกเงินประชาชน” เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการให้ “แพทองธาร” ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วแจกเงินได้รวดเร็วทันที เพื่อรีบสร้างคะแนนนิยม
ซึ่งสุดท้ายก็ทำสำเร็จ มีการแจกเงินให้ “กลุ่มเปราะบาง-ผู้มีรายได้น้อย” คนละ 1 หมื่นบาท กับประชาชนร่วม 14.5 ล้านคน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ก็ช่วยลดแรงกดดันการทวงถามเรื่อง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ไปได้เยอะ ก็ถือว่า “กระทรวงคลังยุคพิชัย” ทำงานสำคัญชิ้นแรกให้กับ “นายกฯแพทองธาร” ได้สำเร็จ ปิดงานได้เร็ว ขณะที่การแจกเงินรอบสองกับ “ผู้สูงอายุ” ช่วงตรุษจีน ยังต้องลุ้นต่อไปว่า ทำได้หรือไม่
หลังมีเสียงท้วงติงว่า อาจขัดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯได้ ซึ่งหากกระทรวงการคลังเดินหน้าจนทำได้ ทุกอย่างราบรื่น ก็ยิ่งสร้างคะแนนแบบประชานิยมให้กับรัฐบาลแพทองธารมากขึ้นไปอีก และทำให้เครดิตในตัว “พิชัย” ในสายตาของ “ทักษิณ” ก็อาจมีมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จอีก
เพราะเป็นที่รู้กัน “พิชัย” จริงๆ เข้ามาเป็น “รมว.คลัง” ในยุครัฐบาลเศรษฐา ก็เพราะแรงหนุนจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ส่งชื่อมาจากแดนไกลถึง “เศรษฐา” จนตอนแรก “เศรษฐา” ตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ก่อนในช่วงแรก และเมื่อมีการปรับครม. ตัว “เศรษฐา” ก็เลิกควบรมว.คลัง แล้วให้เก้าอี้ “รมว.คลัง” กับ “พิชัย” ที่เคยช่วยเหลือ “ยิ่งลักษณ์” ในการสู้คดีตอน “ยิ่งลักษณ์” ตกเป็นจำเลย “คดีจำนำข้าว” ตัว “พิชัย” จึงเป็นรมว.คลังในโควตาสาย “ยิ่งลักษณ์-เศรษฐา” หาใช่สายตรงทักษิณ-จันทร์ส่องหล้าแต่อย่างใด
ผนวกกับแรงหนุนในพรรคเพื่อไทย พวกกลุ่มสส.ก็ไม่มี เพราะที่ผ่านมา เป็นนักบริหารในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัทบางจาก จำกัด (มหาชน)-บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ไม่เคยเข้ามาถนนการเมือง ทั้งหน้าฉากและหลังฉากมากนัก แต่อาศัยว่ารู้จักผู้ใหญ่ระดับแกนนำในพรรคเพื่อไทย อย่าง “ยิ่งลักษณ์” เลยได้รับการสนับสนุน โดยไม่ต้องมีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง “พิชัย” จึงยังเป็นตัวหลักในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทยอยู่
แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่แน่แล้ว หาก “ทักษิณ” มีตัวเลือกคนอื่นที่เห็นว่าเหมาะกว่า “พิชัย” ก็อาจดันมาเสียบเก้าอี้ “รมว.คลัง” แทนก็ได้ ถ้ามีการปรับครม.เกิดขึ้นในอนาคต
เก้าอี้ “รมว.คลัง” ของ “พิชัย” จึงเริ่มถูกมองว่า ชักไม่ค่อยแข็งแรงเสียแล้ว หลัง “ขุนคลัง” ผิดคิวเรื่องขึ้น VAT 15% จนถูก “นายกฯแพทองธาร” สั่งเบรกหน้าหงาย
…………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย…“พระจันทร์เสี้ยว”