“เปรียญสิบ” เห็นภาพ “พระครูปลัดธีระ” กับ “คนตื่นธรรม” โดยมี “หลวงตาสิ้นคิด” เป็นกาวใจ มีการขอขมาลาโทษแล้ว “ปลื้มใจ” เหมือนกับชาวพุทธส่วนใหญ่ของประเทศนี้
“เปรียญสิบ” มักพูดอยู่เสมอว่า “พระครูปลัดธีระ” แม้ภาพลักษณ์ท่านจะดู “ไม่เหมาะสม” มีพฤติกรรมที่เป็น “โลกวัชชะ” แต่เนื้อแท้แล้ว ท่านมีเป้าหมายเพื่อพระพุทธศาสนา พระแบบนี้ “หายาก” ในประเทศไทย เมื่อ “มหาเถรสมาคม” หรือ “ภาครัฐ” ไม่สนใจข้อเรียกร้องหรือ “ข้อร้องเรียน” ของท่าน ๆ ก็เป็นอย่างที่เห็น
“เปรียญสิบ” จึงมักบอกคนที่มาขอความเห็นเสมอว่า “ม้าพยศ” หากมี “ผู้ฝึกที่ดี” ม้านั่นก็จะเป็น “ม้าศึก” ที่ดี “คณะสงฆ์” ต้องฝึกอบรม “พระภิกษุ” ประเภทนี้ไว้ใช้ทำงานบ้าง
ส่วน “คนตื่นธรรม” จะเห็นว่าเปรียญสิบไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ท่าน เนื่องจากมองว่าสิ่งที่ “คนตื่นธรรม” ทำอยู่ถือว่าเป็นการช่วยงานพระศาสนา ช่วยงานคณะสงฆ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และสิ่งที่ “คนตื่นธรรม” พูดถึงปรากฎการณ์ในพระพุทธศาสนา “ส่วนใหญ่” เป็นจริง เพียงแต่..บางสิ่ง คณะสงฆ์ประเทศไทยมิได้ดำรงอยู่ที่เกี่ยวเนื่องกับ “พระธรรมวินัย” อย่างเดียว บริบทสังคมสงฆ์มันมีจารีตประเพณีและกฎหมายบ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคณะสงฆ์ไทยจะให้ดำรงอยู่โดยยึดพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้งอยู่อย่างเดียวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการบวชพระ การจับเงินหรือแม้กระทั่งปลุกเสกวัตถุมงคล อันนี้ก็ต้องว่าไปเป็นกรณีๆ ไป
วันนี้ “พระครูปลัดธีระ” และ “คนตื่นธรรม” จับมือกันแล้ว ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรจะอนุโมทนาหรือยกย่อง ทั้งคู่
คณะสงฆ์รวมทั้งชาวพุทธ ต้องช่วยกัน “เซฟ” คนพุทธแบบนี้เอาไว้ อย่าไปจับผิดทุกเรื่อง สิ่งที่คณะสงฆ์และชาวพุทธควรทำคือ เรื่องโครงสร้างพระพุทธศาสนาบ้านเรา เช่น ทำอย่างไร จึงให้วัดทุกวัดมีโฉนดเป็นของตนเอง ทำอย่างไร พระพุทธศาสนาจึงจะมีกฎหมายคุ้มครอง ทำอย่างไรจึงจะทำให้พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจในหลักพระไตรปิฎก เพื่อนำชีวิตของตนเองและสังคมสู่สันติสุข แบบนี้คือสิ่งที่ชาวพุทธควรทำ
“เปรียญสิบ” ยอมรับตัวเองว่า “หัวใจ” ความกล้าสู้พระปลัดธีระไม่ได้ ในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ร่วมทั้ง “องค์ความรู้” ก็สู้ “คนตื่นธรรม” ไม่ได้
จึงได้แต่อนุโมทนากับสิ่งที่ทั้งคู่ทำสมกับเป็นความเป็น “พุทธบริษัท” ที่พระสมณโคดมฝากพุทธศาสนาเอาไว้ให้พุทธบริษัทสี่ช่วยกันดูแล
ยุคนี้ลำพัง..พระภิกษุสงฆ์อย่างเดียว..ทำท่าร่อแร่
“เปรียญสิบ” จึงบอกว่า พระแบบนี้และฆราวาสแบบนี้..คณะสงฆ์และชาวพุทธต้อง..เซฟ เอาไว้
“เปรียญสิบ” เป็นคนในยุคที่ “องค์พุทธ” อย่างศูนย์พิทักษ์พระพุทธแห่งประเทศไทยก็ดี สมาคมนักวิชาการพระพุทธศาสนาก็ดี หรือแม้กระทั่งยุคที่ “เจ้าคุณประสาร” หรือ “เจ้าคุณโชว์” ร่วมกันลงถนนต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพระพุทธศาสนา
ยุคนี้!! องค์เหล่านี้ดับสลายไปแล้ว พระหลายรูป “เติบโต” กันหมดแล้ว ฆราวาสหลายคนตายจากกันไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็ “อ่อนเปลี้ย” หมดแรง สู้ไปมีแต่เปลืองตัว บางคนกลับอยู่ “ห้องเช่า” ต้องหาเงินเดือนชนเดือน พระหลายรูปที่เป็นนักปกป้องพระพุทธศาสนากลับ “ถูกดอง” ก็มี สู้พวกเสนอหน้าไม่ได้ ซ้ำเป็นที่จับตาของพระผู้ใหญ่และฝ่ายบ้านเมืองอีกเพราะมองว่าเป็นพวก “ฮาร์ดคอร์”
สู้..รักษาตัวรอด กินอิ่มนอนหลับ สบายใจกว่า..อุดมการณ์จึงเก็บไว้ในลิ้นชัก
การที่ “หลวงตาสิ้นคิด” เป็นกาวใจให้กับ “พระครูปลัดธีระ” กับ “คนตื่นธรรม” จึงเป็นสิ่งที่ดีงามใจได้ชาวพุทธทั้งประเทศ
ส่วนใครก็ตามทั้งพระภิกษุและฆราวาสที่ออกมาต่อว่า “พระครูปลัดธีระ” หรือ “คนตื่นธรรม” หยุดเถอะครับ…มือไม่พาย อย่าเอาเท้าราน้ำ
…………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย… “เปรียญสิบ”: [email protected]