‘โรม’ ชี้ปม ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ควรทำเป็นวาระแห่งชาติ เหตุไทยถูกมองเป็นนายหน้าทางผ่าน ขึ้นอยู่กับ ‘รัฐบาล’ จะทำหรือไม่ บอกอยากถอนหายใจ ย้ำเรื่องนี้เกิดมาหลายครั้งแล้ว แนะเพิ่มมาตรการพิเศษแต่ละพื้นที่
วันที่ 8 ม.ค.2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายหวัง ซิง หรือ ซิง ซิง (Xing Xing) นักแสดงชาวจีน ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปทำงาน โดยมีประเทศไทยเป็นทางผ่าน จะมีข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลอย่างไร เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมาก ว่า เรื่องนี้จะมองว่าเป็นปัญหาของประเทศอื่นไม่ได้ แต่เป็นปัญหาของประเทศเราด้วย เพราะเราไม่แตกต่างจากการเป็นนายหน้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เลย เนื่องจากเวลาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงไปเป็นการค้ามนุษย์ จะอ้างว่ามาทำงานในประเทศไทย วันนี้ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยต้องทำมากกว่าที่เป็นอยู่ น่าเสียดายที่เราปล่อยปละละเลย การช่วยเหลือซิงซิงได้เป็นเรื่องดี แต่ยังมีคนจำนวนมากที่เป็นเหยื่ออยู่ อาจจะมากกว่า 6,000 คนตามที่มีการรายงาน ในบริเวณพื้นที่เมียวดี ซึ่งเป็นอาคารสถานที่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่น้อยกว่า 35 แห่ง มีคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมคอลเซ็นเตอร์ไม่น้อยกว่า 300,000 คน ฉะนั้น คนที่เป็นเหยื่อ หรือไม่ได้สมยอมที่จะไปเป็นคอลเซ็นเตอร์มีอีกเยอะมากมาย เพียงแต่เราไม่มีมาตรการที่จะดำเนินคดี รัฐบาลสามารถทำได้ อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะทำ หรือไม่ทำ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ชเวกกโก ถูกนำเสนอเป็นเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนบังหน้า แต่มีคอลเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่แท้จริง และวันนี้เจ้าของถูกดำเนินคดี และถูกจับอยู่ในประเทศไทย หากรัฐบาลอยากจะแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง เราต้องทำหลายอย่าง ทั้งการตัดน้ำตัดไฟ สกัดกั้นบริเวณชายแดนให้มีความเข้มแข็ง จัดการกับข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่น เพราะธุรกิจสีเทาที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน สุดท้ายก็เกี่ยวพันกับข้าราชการไทย นักการเมืองไทย และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการค้ามนุษย์ จึงอยากให้รัฐบาลหยิบเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ส่วนจะเกี่ยวกับการฟรีวีซาหรือไม่นั้น ก็ต้องยอมรับว่าเกี่ยวกัน ตราบใดที่ฟรีวีซ่าสามารถเดินทางทั่วราชอาณาจักรได้ทุกตารางนิ้ว ตำรวจก็จับไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าจะมีธุรกิจสีเทา หรือเป็นหนึ่งในกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่หากไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ก็ไม่สามารถจับได้
“จึงจำเป็นต้องทบทวนเรื่องพื้นที่ละเอียดอ่อนทางความมั่นคง ซึ่งอาจจะต้องมีมาตรการพิเศษ การสนับสนุนเรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตนเองอยากเห็นแม่สอดมีการพัฒนาในระดับสูง แต่ปัญหาคือวันนี้ธุรกิจที่เข้าไปเยอะมาก คือธุรกิจสีเทา ซึ่งอาศัยฟรีวีซาแล้วเดินไปในทุกตารางนิ้ว ทำให้อาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างเพิ่มขึ้นเช่น การจำกัดฟรีวีซาให้เดินไปในบางพื้นที่ไม่ได้ หรือหากจะเดินทางไปต้องรายงานตัว อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อให้เรามีฐานข้อมูล เพราะถ้าไม่มีกระบวนการอะไรเลย ประเทศไทยจะไม่ต่างอะไรจากการเป็นนายหน้าค้ามนุษย์ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเครือข่ายมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก”นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่ากมธ. จะมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อทำข้อเสนอไปยังรัฐบาลหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พูดตรงๆ ก็อยากถอนหายใจ เพราะตนพูดไปไม่รู้กี่รอบแล้ว เวลาถามรัฐบาลในสภา ก็ไม่มาตอบ ไม่ให้ความสัมพันธ์เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คนกัมพูชาเป็นเหยื่อค้ามนุษย์มากกว่า 100 คน เรื่องนี้เป็นวาระใหญ่ที่เราต้องดำเนินการ สถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ก็มีการเตือนพลเมืองของเขาว่า การเดินทางมาประเทศไทยสุ่มเสี่ยงอันตราย ซึ่งอาจส่งผลทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเรากำลังจะพังทลาย ด้านภาคประชาสังคมเอง ก็รายงานว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์แฝงตัวเป็นไกด์ล่อลวงนักท่องเที่ยวเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงอยากถามว่า ใครจะมาเที่ยวประเทศไทย.