“ส.อ.ท.”เสนอรัฐตั้งวอร์รูมรับมือนโยบาย “ทรัมป์2.0” ลุยหาตลาดส่งออกเพิ่ม ลดความเสี่ยงโดนขึ้นกำแพงภาษี ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ธ.ค.67 อยู่ที่ระดับ 90.1ลดลง จากการเร่งผลิตในเดือนก่อนหน้า ด้านสถาบันการเงินยังระมัดระวังการอนุมัติสินเชื่อ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากนโยบาย Make America Great Again ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีความเข้มข้นขึ้น ดังนั้น ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐ แบ่งเป็น
1. จัดตั้ง War Room และเตรียมล็อบบี้ยิสต์ที่เข้มแข็ง เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐ เพื่อลดผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทยและรับมือกับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากทรัมป์จะเปลี่ยนระบบการค้าแบบพหุภาคีไปทวิภาคีคือเจรจาเป็นคู่ๆ เอกชนต้องเตรียมตัวรัฐบาลเองก็ต้องมีลอบบี้ยีสต์ที่ดีๆ ในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลกระโยชน์แบบวินๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายรวมถึงประเทศไทยได้ประโยชน์
2. หาตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากยังมุ่งเป้าส่งออกไปที่เดิมๆ จะเป็นความเสี่ยง เช่น ในช่วงที่จีนโดนสงครามการค้าจากทรัมป์1 ได้ใช้วิธีหาตลาดใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบันจีนสามารถลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐจากเดิม 27% เหลือไม่ถึง 20% โดยเฉพาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทั่วโลกกังวลต่อมาตรการทรัมป์มาก ซึ่ง IMF ประเมิณว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีผู้ค้าอย่างน้อย 10-20% ส่วนจีนโดน 60-100% ล่าสุดจะขึ้นภาษีเม็กซิโกและแคนาดาอีก 25% โทษฐานที่ปล่อยให้มีคนลักลอบผ่านแดนอย่างผิดกฎหมาย และยังคาดว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐจะบั่นทอนต่อเศรษฐกิจโลกจากที่คาดว่าปี 2568 เศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 2.7% อาจจะลดงอีกราว 0.3% เหลือ 2.4% และยังมองถึงปี 2569 ว่าจะลดลงอีกหากยังทวีความรุนแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ จากการที่ไทยส่งสินค้นไปสหรัฐช่วงทรัมป์ 1 ได้ขยับอันดับจาก 14 มาเป็นอันดับที่ 12 ซึ่งการส่งออกปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นอีก โดยตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจอยู่อันดับที่ 9 ดังนั้น ทรัมป์จะจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ แล้วตั้งนโยบายมาตรการกับประเทศที่ได้ดุลการค้ามากขึ้น โดยเพิ่มค่าเงินให้แข็งกับประเทศคู่ค้าในข้อหาบิดเบือนค่าเงินกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเกือบ 20% จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น
“เมื่อสินค้าจีนไปสหรัฐไม่ได้ ต้องแสวงหาตลาดใหม่ จะเห็นว่าตลอด 16 ปี สหรัฐเป็นเบอร์ 1 ที่จีนส่งสินค้าและได้ดุลการค้าสูงสุด ซึ่งปี 2566 สัดส่วนลดลงและมาปูดที่เเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 5.3 แสนดอลลาร์ ซึ่งมาแย่งตลาดไทยและยังทะลักเข้าสู่ประเทศไทย จากข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบปี 2565 ถึง 20 กลุ่มอุตสาหกรรม และปี 2566 กระทบ 22 กลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ปี 2567 กระทบ 25 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยปีนี้จะกระทบ 30 กลุ่มอุตสาหกรรม และคาดว่าจะรุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ปีนี้ประเทศทั่วโลกจะปรับการค้าการลงทุนใหม่”
สำหรับผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 90.1 ปรับตัวลดลง จาก 91.4 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นผลจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอลง จากการเร่งผลิตในเดือนก่อนหน้า ประกอบกับในเดือนธันวาคมมีวันทำงานน้อย และมีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมและสภาพอากาศแปรปรวนในพื้นที่ภาคใต้ ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง ต้นทุนราคาวัตถุดิบทางการเกษตรเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์น้ำท่วม ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือนก่อนหน้าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ขณะที่อุปสงค์ในประเทศชะลอลง สะท้อนจากยอดขายสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 หดตัว 31.34%
นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังระมัดระวังการอนุมัติสินเชื่อ สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง หดตัวลงจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ขณะที่กลุ่มพลังงาน ชะลอลงตามคำสั่งซื้อที่ลดลง รวมไปถึง กำลังซื้อในประเทศโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคยังเปราะบาง จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน และผู้ผลิตเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง
อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ยังมีปัจจัยบวกจากผู้ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เป็นต้น รวมถึงผลจากการจัดทำ FTA ไทย – EFTA (สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ) ได้สำเร็จ ขณะที่ผู้ประกอบการมีการใช้สิทธิ์ FTA ในช่วง (มกราคม – กันยายน 2567) คิดเป็น 85.58% เพิ่มขึ้น 2.11%YoY ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก ประกอบกับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และอยู่ในช่วงขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้ง การท่องเที่ยวก็มีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อาทิ การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก การพัฒนาระบบการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว (Ease of Traveling) บน Web Portal : Entry Thailand รวมถึงการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,372 ราย ครอบคลุม 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนธันวาคม 2567 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 56.3% เศรษฐกิจโลก 52.4% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 40.1% ส่วนปัจจัยที่กังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 37.2% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 36.5% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 29.4%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.5 ปรับตัวลดลงจาก 96.7 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบยังคงห่วงกังวล คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มขึ้นในอัตราวันละ 7 – 55 บาท (เฉลี่ยร้อยละ 2.9) ส่งกระทบต่อต้นทุนแรงงานของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ตามนโยบาย Trump 2.0 อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 และโครงการแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาส 1/2568 และแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
- เสนอให้ภาครัฐจัดตั้ง War Room เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทยและรับมือกับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายตลาดกับสหรัฐฯ
- ให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา
- เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม
- เร่งขยายผลความสำเร็จจากการเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA ไทย – EFTA ไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อขยายโอกาสทางการค้า
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://fti.or.th/ids
ส.อ.ท. มุ่ง “เสริมสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand)”