วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 6, 2025
หน้าแรกHighlightหวั่นคดี‘พิรงรอง’สะเทือนกลไกตรวจสอบ ‘ไหม’ยันบีบลาออกแลกถอนฟ้องเรื่องจริง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

หวั่นคดี‘พิรงรอง’สะเทือนกลไกตรวจสอบ ‘ไหม’ยันบีบลาออกแลกถอนฟ้องเรื่องจริง

‘ศิริกัญญา’ หวั่น คดี ‘พิรงรอง กสทช.’ ถูก จำคุก 2 ปี ทำกลไกตรวจสอบ-ถ่วงดุลสั่นสะเทือน ชี้ควรแก้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐ ชี้อาจทำคนผวาจนกระทบการทำหน้าที่ ไร้คนงัดข้อคุ้มครองผู้บริโภค บอกประหลาดใจข่าวลือบีบลาออกแลกถอนฟ้องเป็นเรื่องจริง

วันที่ 6 ก.พ.2568 เวลา 14.00 น.ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษา ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ มีความผิดตามมาตรา157 ให้มีโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาฯ ในคดีที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัดฟ้องว่า กรณีนี้ทำให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลสั่นสะเทือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแลกลับถูกฟ้องในฐานะที่ถือว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยหน้าที่ตรงนั้น ก็ต้องมีการถกกันว่าตกลงมีอำนาจหรือไม่มี และอำนาจเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาจริงๆ คือเจตนามากกว่า เนื่องจากต้องการคุ้มครองผลประโยชน์ผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องควรจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อสร้างกลไกคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่กำกับดูแลแค่กสทช. แต่ยังมีหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่อาจจะอกสั่นขวัญแขวน

“หากเราดูจากการที่ศาลตัดสินในวันนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดความหวาดกลัวว่า ในอนาคตหากจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่มีระบุในกฎหมายจะถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องหรือไม่ และจะทำให้สามารถปฏิบัติหน้าที่สร้างกลไกตรวจสอบกำกับดูแลได้อย่างเดิมได้หรือไม่ ดังนั้นกฎหมายที่จะช่วยคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ พรรคประชาชนได้ยื่นเข้าสู่สภาเรียบร้อยขณะนี้อยู่ในชั้นที่คณะกรรมาธิการกำลังพิจารณา เพื่อต่อต้านการฟ้องปิดปาก เช่นกรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ถูกฟ้องร้องในการปฏิบัติหน้าที่”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามย้ำว่ามองว่าเป็นการฟ้องปิดปากใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ใช่ คิดว่าเข้าข่ายกรณีฟ้องปิดปาก เพราะกระบวนการสามารถร้องเรียนได้ หากได้รับการปฏิบัติไม่เป็นธรรมจากผู้ดูแล ซึ่งบริษัทเอกชน ก็ใช้กลไกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นช่องทางลัดขั้นตอน และเป็นไปเพื่อให้ดร.พิรงรอง ไม่สามารถเข้าร่วมในกลไก กสทช. ต่อจากนี้ และไม่สามารถเข้าไปพิจารณาได้แล้ว จากจำนวนคณะกรรมการ กสทช.เดิมมี 7 คน มีเสียงฝั่งประธานประมาณ 3 และเสียงข้างมากของดร.พิรงรอง อีก 4 คน แต่ตอนนี้กลายเป็นเหลือ 3 ต่อ 3 เท่ากัน ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจต่างๆ มีความหมายมากขึ้น ไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ผ่านมา

เมื่อถามว่าจะส่งผลอะไรตามมาหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยังมีสิ่งที่เราต้องติดตามอีก โดยเฉพาะกรณีการควบรวม ทรู-ดีแทค ซึ่งคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ก็ยังติดตามความคืบหน้าอยู่ และหลายมาตรการ และเงื่อนไข เฉพาะภายหลังการอนุญาต หลายเรื่องก็ล่าช้ากว่ากำหนด อย่างการตั้งที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบค่าบริการ

“หากกลไกการกำกับดูแลเกิดชะงักงันขึ้นมา เนื่องจากอาจมีหลายคนวิตกกังวลหวาดผวากับการที่จะถูกฟ้องอีก จะยิ่งทำให้การคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ ก็ยิ่งล่าช้าเข้าไปอีกอีก และไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมางัดในเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้พูดเฉพาะกรณีนี้ แต่ยังมีกรณีควบรวม AIS-3BB ก็อาจจะซ้ำรอยด้วยแม้จะเป็นเอกชนคนละราย แต่อาจทำให้องค์กรที่กำกับดูแลทำการคุ้มครองผู้บริโภคย่อหย่อนลง”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่ามีการยื่นข้อเสนอให้ดร.พิรงรอง ลาออกจาก กสทช. แลกกับการถอนฟ้องในคดี น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เท่าที่ได้ยินมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และน่าจะยิ่งกว่าคนในที่เป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อรองแลกถอนฟ้องกับการลาออกจาก กสทช. ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ เนื่องจากดูเหมือนจะมีการรู้ล่วงหน้าตั้งแต่วันก่อนหน้าวันตัดสิน ว่าผลตัดสินจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะไม่ควรมีใครล่วงรู้มาก่อน ตอนแรกตนเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ คิดว่าคงต่อรองแค่ให้ไม่สามารถเข้าร่วมการตัดสินใจได้เฉยๆ แต่ไม่คิดว่าผลการตัดสินจะเป็นไปตามที่ข่าวลือมา เพราะฉะนั้นสภาฯและพรรคการเมืองคงทำได้เพียงตรวจสอบคู่ขนานกันไป เพราะเป็นขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และสิ่งที่ต้องเร่งคือเรื่องการทำกฎหมายต่อต้านการฟ้องปิดปากให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำกับกิจการ OTT (Over the top) เพื่อควบคุมกำกับดูแลสื่อตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วย

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ส่วนเรื่องคำพิพากษาดร.พิรงรองก็คงจะต้องมีการสู้ต่อไปในหลายชั้นศาล ทั้งอุทธรณ์และฎีกา ตนคิดว่าดร.พิรงรอง มีสิทธิ์ในการต่อสู้คดีนี้จนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นเราอยากเห็นความเป็นปึกแผ่นของกสทช.ที่จะออกมาส่งเสียง และให้กำลังใจกัน เพราะของอย่างนี้ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ตนก็กังวลและอยากให้กำลังใจกับ กสทช.ทุกคน ว่าอย่าเป็นกังวลมากเกินไป ยืนหยัดทำหน้าที่อยู่บนหลักการที่ถูกต้องดีกว่า

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img