วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 23, 2025
หน้าแรกEXCLUSIVEปมร้อนๆ “ระบบไบโอเมทริกซ์”ง่อย 3 ปี “โรม”หวั่นอาชญกรรมข้ามชาติเข้าไทย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ปมร้อนๆ “ระบบไบโอเมทริกซ์”ง่อย 3 ปี “โรม”หวั่นอาชญกรรมข้ามชาติเข้าไทย

วันนี้ กลายเป็นประเด็นใหญ่ หลัง “สส.รังสิมันต์ โรม” ในฐานะ ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ออกโรงฉะ “ระบบไบโอเมทริกซ์” ใน การตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย ที่ปล่อยให้ใช้งานไม่ได้ มาตลอดปี 2567 รวมถึง 2 ปีข้างหน้า จนถึงปี 2569

ทำให้ “ขาดโอกาส” ในการ “เก็บอัตลักษณ์บุคคล” โดยเฉพาะ “กลุ่มจีนเทา-สแกมเมอร์” รวมไปถึงอาจเป็น “ช่องโหว่” ให้ “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” ใช้ ไทยเป็นทางผ่าน อีกด้วยหรือไม่

“รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เปิดเผยภายหลังการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง กรณีการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล ที่จะส่งจากฝั่งเมียวดีผ่านด่านชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ทำให้ทราบว่า “ระบบไบโอเมทริกซ์” ที่ใช้ในการเก็บอัตลักษณ์บุคคล “ใช้ไม่ได้” มาตลอดปี 2567 รวมถึง 2 ปีข้างหน้าด้วย (2569)

ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลา 3 ปีเต็ม ที่ไทยไม่มีเครื่องไบโอเมทริกซ์ ในการเก็บข้อมูล ทั้งที่สนามบินและชายแดน นั่นหมายความว่า โอกาสที่จะมีความผิดพลาดที่จะมีนักท่องเที่ยวสีเทาทั้งหลาย จะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการมาก่ออาชญากรรม ด้วยหรือไม่

แม้ว่าทาง สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะชี้แจงว่า ทุกวันนี้…เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการแบบ แมนนวล (Manual) คือ วิธีการถ่ายภาพใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือ

แต่ฝั่ง “สส.โรม” เชื่อว่า ข้อมูลนี้ไม่เพียงพอ เช่นการขึ้นแบล็กลิสต์ แต่ถ้าเปลี่ยนพาสปอร์ตใหม่ ก็อาจเกิดช่องว่างขึ้นมาได้หรือไม่

ไบโอเมตริกซ์

จึงเชื่อว่า “ปัญหานี้” จะกลายเป็น “ช่องว่างสำคัญ” ที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้ความอันตรายขององค์กรอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน และอยากฝากถามถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เหตุใด…ไม่เตรียมพร้อมป้องกัน เหตุใด…ถึงไม่อนุมัติให้มีการซื้อ “ไลเซนส์” หรือ “ใบอนุญาต” เพิ่ม

ทั้งที่ ความจริงต้องรับทราบล่วงหน้าว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่ยังปล่อยให้มีช่องว่างสุญญากาศ ใช้วิธีการแบบโบราณ ไม่สามารถเก็บไบโอเมทริกซ์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงต้องไปใช้วิธีการแบล็กลิสต์ ที่มีช่องโหว่อยู่

โฆษกรัฐบาลโต้ เก็บข้อมูล “ไบโอเมทริกซ์” จีนเมียวดี

ขณะที่ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวกล่าวหาว่า ทางการไทยอนุญาตให้ฝ่ายจีนมารับตัวชาวจีน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ที่ถูกปล่อยตัวจากเมียนมา แล้วมีการผลักดัน ส่งตัวมาขึ้นเครื่องบินที่ประเทศไทยเพื่อเดินทางกลับจีน โดยไม่ผ่านกระบวนการคัดกรอง และตรวจคนเข้าเมืองของไทย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายไทย หรือไม่นั้น

ขอเรียนย้ำว่าไม่เป็นความจริง ในกรณีนี้คือ กลุ่มคนจีนที่ได้รับการส่งตัวมาจากประเทศเมียนมา เพื่อเดินทางกลับจีนนั้น รัฐบาลไทยได้ใช้การดำเนินการด้านการตรวจคนเข้าเมืองของกลุ่มคนจีนกลุ่มนี้ ตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

หลักใหญ่คือ การปฏิเสธการเข้าเมือง โดยกำหนดให้คนกลุ่มนี้ต้องออกนอกราชอาณาจักรทันที ถือเป็นการดำเนินการตามอำนาจทางกฎหมายไทย อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ ชาวจีนกลุ่มดังกล่าวจะผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง และยังต้องมีการเก็บข้อมูลชีวภาพ หรือ “ไบโอเมทริกซ์” เพื่อประโยชน์ในการคัดกรองไม่ให้กลับมากระทำผิดซ้ำหรือไม่ให้ใช้ไทยเป็นทางผ่านอีก ดังนั้นไม่มีการส่งกลับด่วนแบบ วี.ไอ.พี. ตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด

ยืนยันใช้ “ไบโอเมทริกซ์” 17 เครื่องเก็บอัตลักษณ์คนจีน

ขณะที่ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ชี้แจงว่า เมื่อกลุ่มคนจีนที่ช่วยออกมาจากเมืองสแกมเมอร์ฝั่งเมียวดี มาถึงสะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 เจ้าหน้าที่จะทำการเก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลด้วยระบบไบโอเมทริกซ์ ซึ่งจากเดิมมีอุปกรณ์ทั้งหมด 10 เครื่อง วันนี้เสริมเข้ามาอีก 7 เครื่อง รวมเป็น 17 เครื่อง ในการช่วยตรวจสอบและบันทึกข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ก่อนที่จะผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ออกนอกประเทศ

เบื้องต้น จากการตรวจสอบ มีชาวจีนที่ถูกส่งกลับทั้งหมด 198 คน จากรายชื่อเดิม 200 คน ส่วนที่ไม่ได้เดินทางมาด้วย 2 คนเนื่องจากมีอาการป่วย และยังพักอยู่ที่ศูนย์พักพิงในฝั่งเมียวดี

จากการตรวจสอบพบว่า ทั้ง 198 คน เบื้องต้น “โอเวอร์สเตย์-Overstay” คือการอยู่ในประเทศเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และส่วนใหญ่ไม่มีพาสปอร์ต แต่ทางการเมียนมาออกเป็นเอกสาร CI มาให้ แม้จะไม่มีพาสปอร์ต แต่ “ระบบไบโอเมทริกซ์” ของไทยสามารถทำการตรวจสอบข้อมูลได้

ยืนยันว่า ทางการไทยได้เก็บข้อมูลทุกคนไว้หมดแล้ว ไม่พบว่ามีผู้ใดถูกหมายจับตำรวจสากล หลังจากนี้จะนำข้อมูล ไปตรวจสอบโดยละเอียด รวมทั้งจะขึ้นแบล็กลิสต์บุคคลทั้งหมด ห้ามเข้าประเทศไทย เพราะถือว่ามีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง

“บิ๊กเม่น” ปัดข่าวสอดไส้ “45 อุยกูร์” ส่งกลับจีน

ส่วนกระแสข่าวว่า อาจมีการสอดไส้ ส่งตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในห้องกัก ตม.สวนพลู เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ส่งให้จีนในครั้งนี้ ทางรองผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ชุดของ “กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ” ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ในประเทศไทย มีตัวเลขยืนยันเป็นทางการ จาก สตม. ว่า มีชาวอุยกูร์ อยู่ที่ห้องกัก สตม. 40 ราย ถูกคุมขังที่ราชทัณฑ์ 5 ราย รวม 45 ราย

สำหรับข้อมูล “ไบโอเมทริกซ์” หรือ “ข้อมูลชีวภาพ” เป็นข้อมูลเฉพาะที่สามารถยืนยันตัวบุคคลนั้น ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน อาทิ

  • ใบหน้า
  • ม่านตา
  • ลายนิ้วมือ
  • เสียงพูด
  • แผลเป็น
  • ดีเอ็นเอ
  • ลายเซ็น

ปัจจุบัน สถานประกอบการและองค์กรต่างๆ ได้นำเทคโนโลยีชีวภาพ บวกกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาผสานกับความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ด้านโครงสร้างและสรีระวิทยา เพื่อสร้าง ‘Username’ และ ‘Password’ เฉพาะบุคคล

ส่วนในมุมของความมั่นคง ใช้ในการตรวจสอบบุคคลเข้าเมืองภายในสนามบินและเฝ้าระวังบุคคลอันตราย เช่น โครงสร้างใบหน้า ลักษณะการเดิน หรือภาพสแกนโครงสร้างร่างกาย หรือกิจกรรมการขอวีซ่าเดินทาง หนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวประชาชน เช่น มีการเก็บภาพถ่ายสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ สีผม สีตา หรือลักษณะพิเศษเช่น ไฝ ปาน แผลเป็นต้น

…………..

รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

แผน!! ทุบ‘สว.สีน้ำเงิน’ ยืมมือ‘DSI’สลาย

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img