วันพุธ, กุมภาพันธ์ 26, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSทางรอด“ชาวนาไทย” ฝ่าวิกฤติราคาข้าว
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ทางรอด“ชาวนาไทย” ฝ่าวิกฤติราคาข้าว

ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ในมือรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง “แพทองธาร ชินวัตร” ที่ต้องแก้โจทย์ราคาข้าวตอนนี้ตกต่ำเหลือแค่ตันละ 8 พันกว่าบาท บางพื้นที่ แค่ 6 พันบาทเท่านั้น

ความเดือดร้อนของชาวนา อาจไม่ได้แค่เขย่าเก้าอี้ รัฐมนตรีพาณิชย์ ของ “พิชัย นริพทะพันธุ์” ตามที่ สส.พรรคเพื่อไทยออกมาขู่ แต่พร้อมที่จะเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลทั้งคณะเลยทีเดียว ร้อนถึง “นายกฯแพทองธาร” ต้องออกมาทวีตว่า “รักชาวนา อยู่ข้างชาวนา” หวังดับกระแส

อันที่จริงราคาข้าวตกต่ำเป็นปัญหาหมักหมมมานานหลายทศวรรษ มีเรียกร้อง มีประท้วงรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ชาวนายังยากจนเป็นกระดูกสันหลังผุๆ ราคาข้าวยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินสวนทางกับค่าปุ๋ย ค่าเช่านา ยาปราบศัตรูพืช ค่าแรง และค่าครองชีพ ที่พุ่งไม่หยุด

ส่วนหนึ่งเพราะ ปัจจัยภายนอก ปีไหนที่คู่แข่งมีผลผลิตลดลง ส่งออกน้อยหรือส่งออกไม่ได้ ก็เป็นโอกาสดีของข้าวไทย แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ข้าวไทยแพ้ภัยตัวเอง ทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง คือราคาสูงกว่าคู่แข่ง เพราะต้นทุนสูง ผลผลิตต่อไร่น้อยกว่า แถมคุณภาพไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเวียดนาม ได้พัฒนาคุณภาพข้าวใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิของไทยแต่ราคาต่ำกว่า ประเทศผู้ซื้อจึงหันไปซื้อข้าวที่ราคาถูกจากคู่แข่งแทน ทำให้ไทยที่เคยเป็นแชมป์ส่งออกข้าว ได้เสียแชมป์ไปนานหลายปีแล้ว

ราคาข้าวตกต่ำจึงเป็นโจทย์ให้รัฐบาลแก้ ยิ่งตอนนี้ไม่มีเงินมาอุ้มชาวนาในโครงการจำนำข้าวเหมือนเมื่อก่อน เงินถูกนำไปแจกชาวบ้านคนละหมื่นจนเกลี้ยง ต้องคอยดูว่าจะหาทางออกอย่างไร

rice on threshing basket

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้มีชาวนาไม่น้อยที่ดิ้นรนสู้ด้วยตัวเอง ไม่พึ่งรัฐบาล โดยหันไปปลูกข้าวปลอดสารพิษส่งออกไปตลาดต่างประเทศเอง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ขายตรงจากท้องนาไปบุกตลาดยุโรปและอเมริกา จนไม่พอขาย บางแห่งมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีการคำนวณดิน คำนวณปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าที่เรียกว่า “เกษตรแม่นยำ” วิธีอย่างนี้ไม่เคยมีอยู่ในนโยบายรัฐบาล นักการเมืองชอบทำอะไรที่เห็นผลเร็วๆ ได้คะแนนชัวร์ จึงวนอยู่กับ จำนำข้าว ประกันราคาหรือไม่ก็พยุงราคาข้าว คิดได้แค่นี้

มีเรื่องที่อยากเล่า เป็นเรื่องราวของชาวนาที่ยืนด้วยตัวเองไม่หวังพึ่งรัฐ เป็นเรื่องราวของ วิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวอุ่มแสง ศรีสะเกษ ของ “บุญมี สุระโคตร” ผู้นำขาวนาบุกเบิกการทำนาข้าวปลูกผักแบบอินทรีย์ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีแม้แต่นิดเดียว ที่ถือว่าเป็น ต้นแบบของชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมีและประสบความสำเร็จอย่างมาก

วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนอุ่มแสง (เกษตรทิพย์) ทำนาข้าวอินทรีย์ แปลงใหญ่ 20,000 ไร่ รวมพันธมิตรในเครือข่ายราวๆา 1 แสนไร่ น่าจะเป็นนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก่อตั้งในปี 47 โดย “ลุงบุญมี” จากการเริ่มสังเกตเห็นว่า การปลูกข้าวที่ใช้สารเคมี ชาวนาเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว แถมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ จึงคิดหาออกทางว่าจะทำยังไงดี

ในที่สุดคำตอบอยู่ที่ การทำนาเกษตรอินทรีย์ จึงชักชวนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆ กันมาร่วมกัน ตอนแรกมีแค่ 47 ราย ได้เงินลงขัน 6 หมื่นกว่าบาท วันที่ได้มีโอกาสคุยกับลุงบุญมีราว 5 ปีกว่าๆ มาแล้ว ตอนนั้นมีสมาชิกกว่า 1,200 ครอบครัว

ส่วนที่มีคนบอกว่า หากไม่ใช้สารเคมี ต้นทุนจะเพิ่ม ผลผลิตไม่ดีนั้น “ลุงบุญมี” เล่าให้ฟังว่า การทำนาข้าวอินทรีย์ช่วย “ลดต้นทุนการผลิตข้าว” อย่างเห็นได้ชัด คนในหมู่บ้านก็มีสุขภาพดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีผลผลิตข้าวก็งอกงามกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญข้าวสารอินทรีย์ขายได้ราคาดีกว่าข้าวสารที่ใช้สารเคมี ตลาดต่างประเทศต้องการมากจนผลิตไม่ทัน แต่เกษตรกรต้องอดทนเมื่อทุกอย่างลงตัวคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

“ลุงบุญมี” ยังบอกอีกว่า หัวใจสำคัญจริงๆ เกษตรกรจะต้องมีความรู้ “เรื่องดิน” ว่า ดินที่ทำอยู่นั้น มีแร่ธาตุหรือไม่ มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าไม่มีจะทดแทนอย่างไร หรือต้องมีความรู้เรื่อง “เมล็ดพันธุ” ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน

วันที่นั่งคุยกันข้าวอินทรีย์ของอุ่มแสง ส่งขายต่างประเทศ 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐฯและยุโรป ส่วนเอเชียมีบ้างเล็กน้อย แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่เหลืออีก 20% ขายในประเทศ ในอนาคต “ลุงบุญมี” บอกว่า จะขายในประเทศมากขึ้น เพราะอยากให้คนไทยบริโภคข้าวปลอดสารเคมีมากๆ ส่วนยอดขายเท่าไหร่นั้น “ลุงบุญมี” ไม่ได้บอก แต่ก็แอบรู้มาว่า ปีนี้ (เมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ใกล้ๆ 100 ล้านบาทโดยที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ไม่ว่าในเมืองไทยหรือต่างประเทศ ทำให้ไม่ต้องถูกกดราคา

“ลุงบุญมี” ยังเล่าอีกว่า ส่งออกอินทรีย์ข้าวในนามชุมชนฯนั้น เป็น “เสน่ห์การตลาด” อย่างหนึ่ง เพราะฝรั่งเขารู้ว่าหากซื้อข้าวไปบริโภคแล้วเงินถึงมือเกษตรกรแน่ๆ ทุกวันนี้ที่อุ่มแสง ไม่ได้ส่งออกข้าวอย่างเดียว ยังแปรรูปสินค้าที่ต่อยอดจากข้าวส่งออกมากมายหลายชนิด

ความฝันของ “ลุงบุญมี” บอกว่า อยากทำให้ ศรีสะเกษ บ้านเกิดเป็น “มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์” และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ เกษตรบริการ รองรับลูกค้าต่างประเทศที่อยากมาเยี่ยมคนที่ปลูกข้าวให้เขากิน

ทุกวันนี้ไม่เฉพาะ “วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวอุ่มแสง” ยังมีวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวอีกหลายๆ แห่งพึ่งตัวเอง ผลิตข้าวปลอดสารขายตลาดต่างประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐบาล ไม่พึ่งนโยบายจำนำข้าว ก็อยู่ได้และอยู่อย่างยั่งยืน

………………………………..

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุนคอลัมน์ โดย :   บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img