‘รัสเซีย’ถก‘ผู้นำเมียนมา’ขยายการลงทุน

“…..กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน ได้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.67 มีกำลังพลรวม 273 นาย ได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 มาต่อยอดพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมเผยแพร่วัฒนธรรมไทยควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจ….”

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 1 มี.ค.68 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศเมียนมา ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ กับรัสเซีย เพิ่มเติม จำนวน 9 ฉบับ เกี่ยวกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน ธนาคาร การศึกษา โทรคมนาคม เทคโนโลยี และการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา 

@@@…….หนึ่งในนั้นมีการลงนาม ใน MOU ที่สำคัญระหว่าง นายกานซอ รมว.กระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศเมียนมา กับ Mr. Maxim Reshetnikov รมว.กระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซีย เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2568 ว่าด้วยข้อตกลงความร่วมมือที่จะให้บริษัทของรัสเซียเข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Special Economic Zone – SEZ ทวาย ที่ภาคตะนาวศรี อาทิ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน และโรงกลั่นน้ำมัน หลังจาก Mr. Maximฯ นำคณะเยือนเมียนมาและพบปะหารือกับ พล.อ.อาวุโสมิน ออง หล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ SAC เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2568 โดยมีผู้ร่วมคณะที่สำคัญคือ Mr. Alexander S. Shatirov ผอ.กองทุน RC – Investments Fund ของมูลนิธิรอสคองเกรส Roscongress Foundation ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมศักยภาพทางธุรกิจและการลงทุนของรัสเซียในต่างประเทศ

@@@…….การจัดประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างรัฐบาลเมียนมา – รัสเซีย ครั้งที่ 5 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเมียนมา 2 ในกรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2568 นั้น มีผู้เข้าร่วมราว 500 คน ประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญทางธุรกิจที่รัฐบาลทหารเข้าไปบริหารจัดการ และผู้มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของเมียนมา ซึ่งรวมถึง Nyo Saw ประธานบริษัทเศรษฐกิจเมียนมาที่เป็นของกองทัพ, Win Shein รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผน และการคลัง, Kan Zaw รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ และนายพล Mya Tun Oo รองนายกรัฐมนตรีเมียนมา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และการสื่อสารเมียนมา ก็เข้าประชุม

@@@…….อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหาร นอกจากบทบาทของจีนในเมียนมาแล้ว ความร่วมมือระหว่างเมียนมา และรัสเซีย ขยายตัวมากขึ้นรวมถึงการลงทุน การค้า และพลังงานนิวเคลียร์ จากเดิมก่อนหน้านั้นที่มีเพียงการจัดหาอาวุธของกองทัพ อนึ่ง เมื่อเดือน ม.ค. 2568 แม็กซิม ไรเซนนอฟ Maxim Ryzhenknov รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเบลารุส นำคณะผู้แทนจากเบลารุส หารือกับพลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย และคณะผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ที่เมืองย่างกุ้ง โดยหารือเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา การค้า และความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ  

@@@…….ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง มองว่า ประเทศเบลารุส คือ พันธมิตรไม่กี่รายของรัฐบาลทหารเมียนมา ร่วมกับเพื่อนบ้านของเมียนมาอย่างเช่น อินเดีย และจีน เป็นต้น ซึ่งให้เงินทุนสนับสนุนผ่านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในเมียนมาหลายโครงการ อันหมายถึง โอกาสของเมียนมาในการเข้าสู่ตลาดยุโรปโดยร่วมมือกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย EAEU ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยรัฐยุคหลังสหภาพโซเวียต 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน และในทางกลับกันก็เป็นโอกาสของรัสเซียในการขยายตลาดในเอเชียแข่งขันกับอิทธิพลของจีนได้เป็นอย่างดี โดยฝ่ายความมั่นคง จะได้ติดตามสถานการณ์ในประเด็นที่กล่าวถึงนี้ต่อเนื่องต่อไป ซึ่งเชื่อว่า การมุ่งมั่นขยายการลงทุน และพัฒนาเศรษฐกิจของเมียนมา จะเดินหน้าประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ยังคงตั้งอยู่บนเงื่อนไขเดียว นั่นคือ การสู้รบภายในประเทศจะต้องคลี่คลายลงก่อนเท่านั้น

@@@…….ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ จัดการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของกองทัพในสถานการณ์วิกฤติ” โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร่วมบรรยายให้กับ นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 67, นักศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหาร รุ่นที่ 66 และนายทหารนักเรียนหลักสูตรเสนาธิการร่วม รุ่นที่ 6 โอกาสนี้ รมช.กลาโหม ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การบริหารงานด้านความมั่นคงในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น วิกฤตการระบาดของโควิด-19 และภัยพิบัติดินโคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ การเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน และบทบาทของกองทัพในการบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ เช่น ยาเสพติด, ไฟป่า, หมอกควัน, ฝุ่นละออง และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

@@@…….ขณะที่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เน้นย้ำในเรื่องการปรับโครงสร้างกองทัพให้กระชับ ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาการปฏิบัติภารกิจของกองทัพให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงกลาโหม 11 ข้อ ซึ่งมุ่งตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและภัยคุกคามใหม่ โดยหนึ่งในแผนงานสำคัญคือ การจัดตั้งหน่วยบัญชาการไซเบอร์ เพื่อรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์และอาชญากรรมออนไลน์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคงและการช่วยเหลือประชาชน

@@@…….กองทัพบก….พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก นำคณะผู้บังคับบัญชาของกองทัพบก เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกำลังพล กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน ที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน หรือ United Nations Mission in South Sudan (UNMISS) ณ เมืองจูบา สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยผู้บัญชาการทหารบกได้ลงนามในสมุดตรวจเยี่ยม และร่วมรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติภารกิจของหน่วย ณ กองบังคับการกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน โดยมี พ.ท.วีระพงศ์ จันทรศิริภาส ผู้บังคับกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน ผลัดที่ 5 ให้การต้อนรับ 

@@@…….ก่อนนำคณะเดินทางไปยัง UN House เมืองจูบา สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน เพื่อเข้าพบปะหารือร่วมกับ Mr.Aggrey Kedogo Chief of Organizational Resilience Management ระดับ D1 ภารกิจ UNMISS ผู้รับผิดชอบในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นขององค์กรให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์วิกฤตหรือฉุกเฉิน และ พลโท Mohan Subramanian ผู้บัญชาการกองกำลังในภารกิจ UNMISS (Force Commander UNMISS) โดยทาง UNMISS ได้ให้ความเชื่อมั่นถึงการปฏิบัติภารกิจของทหารไทยในด้านต่างๆ ทั้งการปฏิบัติงานทางการช่าง รวมทั้งงานสายแพทย์ ที่ได้มีการจัดกำลังพลเหล่าทหารแพทย์ร่วมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กำลังพลทุกนายสามารถปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดี และทาง UNMISS ได้ให้ข้อเสนอแนะในเรื่องความพร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการจัดกำลังเพิ่มเติมของกองทัพไทยเพื่อเข้าร่วมภารกิจในดังกล่าวนี้ด้วย จากนั้นผู้บัญชาการทหารบกและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจการปฎิบัติงานของกำลังพล ณ ค่ายพักทหารไทยภายในบริเวณ UN Tomping Compound เมืองจูบา พร้อมร่วมบันทึกภาพและมอบของที่ระลึก เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ แสดงถึงความห่วงใยจากผู้บังคับบัญชาของกองทัพบก

@@@…….โอกาสเดียวกันนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวให้กำลังใจกำลังพล ขอบคุณและชื่นชมทุกนายในฐานะตัวแทนของกองทัพบกและประเทศไทย ที่ได้เข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของกองทัพบกไทยที่ได้จัดกำลังหน่วยทหารช่างระดับกองร้อยเข้าสนับสนุนภารกิจ ซึ่งแสดงถึงขีดความสามารถของกองทัพจนเป็นที่ประจักษ์ และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยนับเป็นความท้าทายหนึ่งที่กำลังพลทุกนายต้องเผชิญ ขอให้หมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนให้เท่าทันต่อสภาวะแวดล้อม ยึดมั่นในอุดมการณ์ของทหารอาชีพ พร้อมมุ่งมั่นทุ่มเทในทุกภารกิจที่ได้รับมอบอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องประสานการทำงานทั้งภายในทีมและหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ขณะเดียวกันต้องมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุต่างๆ เพื่อเตรียมกำลังให้มีความพร้อมต่อทุกสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้งนี้ ขอให้นำโอกาส และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างแดนครั้งนี้ มาพัฒนาและประยุกต์ใช้ในการทำงานของตน รวมทั้งขยายผลไปยังองค์กรต่อไป เพื่อมุ่งสู่การเป็นกองทัพที่มีศักยภาพ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน และเป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค

@@@…….สำหรับกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน ได้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ ตั้งแต่ ธ.ค.61 โดยมีวงรอบการปฏิบัติงานระยะเวลาผลัดละ 1 ปี และปัจจุบันเป็นผลัดที่ 5 เข้าวางกำลังในพื้นที่ ตั้งแต่ 18 ส.ค.67 มีกำลังพลรวม 273 นาย ประกอบด้วย กำลังพลจากกองบัญชาการกองทัพไทย 17 นาย, และกองทัพบก 256 นาย ซึ่งมีลักษณะงานทางการช่างที่สำคัญได้รับมอบ 2 ส่วน คือ การซ่อมแซมและปรับปรุงเส้นทางส่งกำลังบำรุงหลัก และการซ่อมแซมภายในค่ายพัก ณ เมืองจูบา และเมืองรุมเบค สาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ขณะเดียวกันได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 มาต่อยอดพัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมเผยแพร่วัฒนธรรมไทยควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจด้วย ซึ่งกองทัพบกพร้อมคัดสรรและเสริมสร้างกำลังพลที่มีความสามารถและสนใจเข้าร่วมในภารกิจ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถและปรนนิบัติบำรุงยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ให้ทันสมัย และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้พร้อมต่อการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในฐานะหน่วยงานด้านความมั่นคงหลักของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

@@@…….ที่ห้องรับรอง จปร. ชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก ให้การต้อนรับ พล.อ.โรนัลด์ พี. คลาร์ค (GEN Ronald P. Clark) ผู้บัญชาการกองกำลังทหารบกสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก (USARPAC) ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ในฐานะ ผบ.กกล.ทบ.สหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกร่วมผสม รหัส Cobra Gold 2025 และแนะนำตัวอย่างเป็นทางการหลังเข้ารับตำแหน่ง เมื่อ พ.ย. 67 ที่ผ่านมา 

@@@…….รองผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวต้อนรับ ผบ.กกล.ทบ.สหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก ที่มาเยือนกองบัญชาการทหารบกครั้งแรก ในฐานะ ผบ.กกล.ทบ.สหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก และได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างกองทัพบกและกองทัพสหรัฐฯ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการฝึกร่วม/ผสม รหัส Cobra Gold และการฝึกผสม รหัส Hanuman Guardian ที่มีการฝึกร่วมกันอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้ ผู้บังคับบัญชาทั้งสองท่านได้ร่วมหารือข้อราชการต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ การประชุม Indo – Pacific Motorized Forum (IPMF) ห้วงวันที่ 26 – 27 ก.พ. 68 ณ กรุงเทพฯ และกรมทหารราบที่ 112 ค่ายพนัสบดีศรีอุทัย อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี โดยในปีนี้กองทัพบกเป็นเจ้าภาพจัดการประขุมร่วมกับทางสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก 

@@@…….จากการประชุม IPMF ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กองทัพบกไทย และกองทัพบกมิตรประเทศ ร่วมประชุมหารือเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยยานเกราะ นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงเรื่องภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และแนวทางการรับมือของฝ่ายความมั่นคง อาทิ ประเด็น การลักลอบการค้ายาเสพติด scammer การใช้อากาศยานไร้คนขับทางพลเรือน และระบบการต่อต้านอากาศไร้คนขับ (Counter – Unmanned Ariel System : C-UAS) โดยได้มีการหารือถึงแนวทางการร่วมกันพัฒนากองทัพไทย ให้มีขีดความสามารถ และมีความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความท้าทายความมั่นคงไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต ทั้งนี้ กองทัพบกและกองทัพสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน ผ่านความร่วมมือทางทหาร ทั้งการฝึกร่วม/ผสม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนาขีดความสามารถหน่วยยานเกราะล้อยางแบบ Stryker การบูรณาการระบบการต่อต้านระบบอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS) และความร่วมมือด้านไซเบอร์ เป็นต้น 

@@@…….กองทัพอากาศ…..พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีส่งหน่วยบินฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจำปี 2568 โดยมี ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการฝนหลวง ผู้อำนวยการกองบริหารการบินเกษตร นายทหารชั้นผู้ใหญ่กองทัพอากาศ เจ้าหน้าที่หน่วยบินฝนหลวงกองทัพอากาศ และเจ้าหน้าที่จากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เข้าร่วมในพิธี ณ ฝูงบิน 601 กองบิน 6 ทั้งนี้ เพื่อแสดงถึงความพร้อมของกองทัพอากาศในการร่วมปฏิบัติการฝนหลวง ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตามโครงการพระราชดำริฝนหลวง อีกทั้งเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เชิงรุกในการเผยแพร่การปฏิบัติภารกิจฝนหลวงกองทัพอากาศ และเพื่อสร้างขวัญและกาลังใจให้แก่กำลังพลที่ไปปฏิบัติภารกิจฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจำปี 2568

@@@…….การปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจำปี 2568 นี้ เป็นการขับเคลื่อนโครงการพระราชดำริฝนหลวง โดยร่วมมือกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในการบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนในประเทศ ในภารกิจฝนหลวง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนเก็บกักน้ำ การยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ รวมถึงการสนับสนุนอากาศยาน ยุทโธปกรณ์ กำลังพล อาคารและสถานที่ในการปฏิบัติการฝนหลวง โดยมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศเป็นหน่วยงานในการประสานการปฏิบัติระหว่างกองทัพอากาศกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ หน่วยเกี่ยวข้องอื่น ๆ พร้อมทั้งเชื่อมโยงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งปรับปรุงแผนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในแต่ละห้วงเวลา เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และเกษตรกรบนพื้นที่เกษตรกรรมทั้งประเทศ

@@@…….ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ โดยเสนาธิการทหารอากาศ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ และเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ เป็นหัวหน้าสำนักงานฝนหลวงกองทัพอากาศ เป็นผู้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งมีการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจำปี 2568 ที่สำคัญ ดังนี้ 1.แผนงานการบินปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประกอบด้วย เครื่องบินโจมตีแบบที่ 7 (Alpha Jet) สนับสนุนภารกิจการยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เครื่องบินลำเลียงแบบที่ 2 ก (BT-67) สนับสนุนภารกิจการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและเติมน้ำต้นทุนในการเก็บน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และเครื่องบินโจมตีและธุรการแบบที่ 2 (AU-23A) สนับสนุนภารกิจการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและเติมน้ำต้นทุนในการเก็บน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

@@@…….2.แผนงานการสนับสนุนฐานปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประกอบด้วย กองบิน 1, กองบิน 2, กองบิน 3, กองบิน 5, กองบิน  7, กองบิน 21, กองบิน 23, กองบิน 41, กองบิน 46, กองบิน 56 และสนามบินเนินพลอยแหวน (สนามบินท่าใหม่) เพื่อสนับสนุนหน่วยบินปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศและหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร 3.แผนงานการสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงของศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศกองทัพอากาศ อาทิเช่น การผลิตและปรนนิบัติพลุสารฝนหลวง ชุดสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจฝนหลวงด้วยอุปกรณ์พ่นสารจากพื้นสู่ก้อนเมฆ (Ground Base Generation) 4.แผนงานการสนับสนุนโครงการวิจัย ที่สำคัญได้แก่ โครงการวิจัยและพัฒนาการใช้โดรนในการปฏิบัติการฝนหลวงบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ, โครงการการขยายผลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการพ่นสารจากพื้นสู่ก้อนเมฆ จำนวน 2 ชุด และโครงการวิจัยและพัฒนาพลุสูตรแคลเซียมคลอไรด์ สำหรับการดัดแปรสภาพอากาศ

@@@…….เนื่องด้วย พระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยที่ต้องประสบกับความเดือดร้อน อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรกรรม จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งคณะปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นเพื่อค้นคว้า ทดลอง และปฏิบัติการทำฝน จนประสบผลสำเร็จนับแต่ปี 2512 เป็นต้นมา การดำเนินการตามโครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง” ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง และสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พสกนิกร จนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกัน การปฏิบัติภารกิจของหน่วยบินฝนหลวง เป็นภารกิจที่มีความสำคัญภารกิจหนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับกองทัพอากาศ เพราะเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กองทัพอากาศ จึงได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วทุกภูมิภาค

…………..

คอลัมน์  : “Military Key”

โดย.. “รหัสมอร์ส”