สำหรับ ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2568 ต้นทุนประจำงวดจริงๆ อยู่ที่ 16.39 สตางค์ต่อหน่วย ลดลงจากงวดก่อนที่อยู่ในระดับ 16.52 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงไป 0.13 สตางค์ต่อหน่วย หากนำมารวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย เอาจริงแล้วค่าไฟประจำงวดจะต้องอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย ลดลงจากงวดก่อนหน้าที่ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บอยู่ 4.15 บาทต่อหน่วย หรือลดลงไป 0.20 บาทต่อหน่วย
หลักๆ มาจากค่าซื้อไฟฟ้าลดลง และส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ADDER) ที่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนยุคแรกๆ ได้สิ้นสุดลง ปรับมาเป็นในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) แทน
แต่การชงของ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ได้เอาตัวเลขต้นทุนประจำงวดที่ลดลงเป็นตัวนำ แต่ไปโฟกัสตัวเลขภาระคงค้างจากการตรึงค่าไฟฟ้าในช่วง 3 ปี ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รับไปจำนวน 71,740 ล้านบาท คิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) มี ปตท. เป็นต้น ที่รับภาระค่าก๊าซฯไปก่อนจำนวน 15,084 ล้านบาท คิดเป็น 21.02 สตางค์ต่อหน่วย รวมสองส่วน 121.00 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะต้องทยอยใส่เข้ามาในค่าเอฟทีในจังหวะช่วงที่ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและอื่นๆ ลดลง

โดย “กกพ.” ได้ชง 3 ทางเลือก ไว้ให้ไปรับฟังความเห็นเท่านั้น คือ 1.ค่าไฟปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย กรณีเอาภาระ 121.00 สตางค์ต่อหน่วยใส่เข้ามาในเอฟทีทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 ให้กฟผ.มีสภาพคล่องเข้าสู่ภาวะปกติ และคืนค่าก๊าซฯ
2.ค่าไฟปรับเพิ่มเป็น 4.95 บาทต่อหน่วย กรณีคืนให้เฉพาะ กฟผ.ที่รับภาระไป 71,740 ล้านบาท แต่ยังติดค่าก๊าซฯอยู่ 15,084 ล้านบาท
3.ตรึงค่าเอฟทีไว้เท่างวดที่แล้ว ทำให้ค่าไฟที่เรียกเก็บเท่าเดิมคือ 4.15 บาทต่อหน่วย แต่เนื่องจากต้นทุนประจำงวดลดลง ดังนั้นการตรึงไว้เท่าเดิม ก็ยังมีเงินคืน กฟผ.บางส่วนที่ 14,590 ล้านบาท คิดเป็น 20.33 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้หนี้ กฟผ.ลดลง 60,474 ล้านบาท ส่วนค่าก๊าซฯยังค้างไว้เหมือนเดิม
สาเหตุที่ “กกพ.” ชง 3 ทางเลือกโดยเน้นปัจจัย “คืน-ไม่คืน” ภาระคงค้างให้ กฟผ.และ ปตท. ไม่ชงทางเลือกที่ 4 ที่ค่าไฟฟ้าสามารถปรับลดลงได้ หากเลือกที่จะทำให้ค่าเอฟทีสะท้อนต้นทุนประจำงวด ซึ่งจะทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.94 บาทต่อหน่วยจาก 4.15 บาทต่อหน่วย

หลายทางเดามาว่า เพื่อเปิดทางให้รัฐบาล หรือ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รมว.พลังงาน เป็นผู้เคาะค่าไฟฟ้างวดนี้เอง เพื่อให้โชว์หรืออวดว่า มีผลงานกัน เพราะเวลานี้ยังเป็นช่วงการรับฟังความเห็นประชาชนระหว่าง 11-24 มี.ค.68 ซึ่งว่าไปแล้วการรับฟังความเห็นประชาชนเป็นแค่พิธีกรรมให้ครบขั้นตอนทางกฎหมายเท่านั้น จริงๆ อยู่ที่นโยบายจะเคาะเท่าไหร่
มาดูตัวเลขของราคา Pool Gas หรือราคาเฉลี่ยก๊าซฯ ในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2568 ก็จะพบว่าสูงขึ้น จาก 301 บาทต่อล้านบีทียูเป็น 313 บาทต่อล้านบีทียู จากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่เรานำเข้ามาใช้มากขึ้น ซึ่งราคาสูงขึ้นมาอยู่ที่ 14 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากงวดก่อน 13.40 ดอลลาร์
ตอนนี้ “รมว.พลังงาน” ได้มอบให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปหา แนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิง โดยปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ เนื่องจากตอนนี้ไทยเราใช้ก๊าซฯจาก 3 แหล่งใหญ่ในการผลิตไฟฟ้าคือ อ่าวไทย เมียนมา และนำเข้า LNG
โดยแนวทางคือ จะปรับพอร์ต Pool Gas ใหม่แยก Pool ระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้า และการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่ง “รมว.พลังงาน” เคยบอกว่า จะทำให้ค่าไฟลดลงได้ 40 สตางค์ต่อหน่วย แต่คงไม่ทันใช้กับค่าเอฟทีรอบนี้ ต้องรอลุ้นรอบหน้ากันต่อไป แล้วก็ต้องรอลุ้นราคา LNG ภายใต้รัฐบาลทรัมป์อีก ที่คาดว่าจะทำให้ LNG ลดลงแต่ก็เอาแน่ไม่ได้อีก ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทอย่างมากกับราคาพลังงานยุคนี้

นอกจากนี้ ในรอบหน้ายังต้องลุ้นเรื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะของ กฟผ. ซึ่งต้นทุนต่ำสุด ที่จะถูกมอบหมายให้เดินเครื่องพยุงให้ค่าไฟฟ้าไม่สูงไปกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯที่มี LNG มาผสมมากขึ้นๆ ซึ่งโรงไฟฟ้าแม่เมาะยังติดเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ มูลค่างาน 7,250 ล้านบาท ที่ทำให้เปิดหน้าดินไม่ได้ เท่ากับขุดถ่านออกมาใช้ไม่ได้ ซึ่งว่ากันว่า โดยหลักการทำเหมือง จะขุดถ่านหินขึ้นมากองล่วงหน้านานๆ ทำไม่ได้ เพราะติดไฟเอาง่ายๆ แต่ยังไม่เป็นที่เข้าใจได้ของ “รมว.พลังงาน”
ล่าสุดมีหนังสือจาก สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ถึง ผู้ว่าการ กฟผ. เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 สรุปได้ว่า ให้เรื่องนี้เดินหน้าตามกระบวนการสอบข้อเท็จจริงต่อไป โดยมองว่า กฎระเบียบของ กฟผ.ในกรณีการจัดซื้อจัดจ้างมีความหละหลวม ไม่ควรเร่งรีบจนต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ดังนั้นผู้ร้อง (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)) ก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการได้
นอกจากนี้ “รมว.พลังงาน” ยังตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมา เรียกคนมาชี้แจงหมด แต่มี “หนังสือเป็นทางการ” ออกมาแบบนี้อีก ก็ยิ่งทำให้การจัดซื้อจัดจ้างที่ทำกันไปเสร็จแล้ว “โยกคลอน” ให้การล้มกระดานการจัดซื้อจัดจ้างโครงการนี้ถูกพูดถึงขึ้นมาเป็นกระแส แปลว่า ยังขุดถ่านออกมาใช้ไม่ได้ตามกำหนด สำนักงาน กกพ. ระบุว่า “งานเข้าแน่นอน”
…ก็รอลุ้นค่าเอฟทีงวดนี้งวดหน้า งวดต่อๆ ไปจะมีอะไรเพลินๆ ให้ดูชม ล้มกระดานโครงการขุดขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ? โรงไฟฟ้าแม่เมาะเข้าระบบไม่ได้เท่าเดิม แล้วโรงไฟฟ้าไหนจะต้องเดินแทน?
……………
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย : ศรัญญา ทองทับ
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
