สภาเดือด!!.ปมญัตติซักฟอก “ผู้นำฝ่ายค้าน” ยอมถอยถอนชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติซักฟอก พร้อมรับผลหากถูกฟ้อง ขอคำมั่น “ประธานสภาฯ”ทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่ขวางการอภิปราย “วันนอร์” ไม่รับปากเอ่ยชื่อคนนอก หากมีประท้วงต้องทำตามกติกา-ข้อบังคับ ด้าน“วิโรจน์” ยกข้อบังคับ 76 เสนอให้นายกฯพาพ่อเข้าแจงสภาฯได้
วันที่ 13 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ทั้งนี้ภายหลังเปิดให้สส.หารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจบ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ได้ลุกขึ้นปรึกษาหารือถึง การบรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อ ให้ได้ภายในสมัยประชุมนี้ ขอหารือก่อนมากกว่าตอบโต้หน้าสื่อ ภายในสัปดาห์นี้เดินหน้ากระบวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ทำให้นายวันนอร์ แทรกว่า ตนได้รับเอกสารว่าณัฐพงษ์จะไปหารือกับตนช่วงบ่าย ตนก็ยินดี และมีความประสงค์อยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน แต่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ และกฎหมาย ซึ่งมีความเห็นแตกต่างกัน ถ้าเราไปคุยกันน่าจะไม่เสียเวลาของที่ประชุมสภาฯ เพราะกระทู้สดรออยู่ รัฐมนตรีก็พร้อมแล้ว ถ้าหารือในที่ประชุมคงไม่ได้ข้อยุติ เพราะต่างคนต่างมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน ข้อบังคับก็เห็นไม่ตรงกัน และคนพยายามอย่างที่สุดที่จะให้เรื่องนี้ ให้มีการอภิปราย ตามที่ต้องการ ถ้าคุยไม่ลงตัวใช้วิธีไหนก็ได้
นายณัฐพงษ์ ก็บอกว่าจะใช้เวลาไม่นาน ไม่ได้ต้องการถกเถียงประเด็นเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นการใช้อำนาจของพวกเราทุกคน ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ยืนยันว่าได้ประสานหลังบ้านจะหารือกับประธานสภาฯตอนบ่ายโมง แต่เราต้องมีความโปร่งใส และไม่ต้องการมีครหาของประชาชนที่ติดตามการเมือง ว่าพวกตนมีกรอบ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเงื่อนไขอะไรบ้าง ไปเคลียร์กับประธานหลังบ้านเรื่องอะไร แต่ขอหารือในที่ประชุมสภาฯ ตนได้รับหนังสือที่ประธานสภาฯตอบกลับมาถึงตนเมื่อวันที่ 12 มี.ค. เป็นหนังสือด่วนที่สุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่โต้แย้งกลับมาเรื่องความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากหนังสือฉบับนี้ลงนามโดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตนจึงอยากขอความชัดเจนอย่างแรกว่า หนังสือฉบับนี้ทุกถ้อยคำเป็นการใช้อำนาจของประธานสภาฯและประธานก็พร้อมที่จะรับผิดรับผิดชอบต่อทุกข้อสงสัยและทุกการตอบในหนังสือฉบับนี้ใช่หรือไม่
นายวันนอร์ ชี้แจงว่า ตนมีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ ยินดีรับผิดชอบทุกอย่างถ้าเป็นการถามที่เกิดขึ้นจากเลขาธิการฯ เพราะตนได้ดำเนินการตามหน้าที่และเลขาธิการฯ ก็ตอบตามที่หนังสือของนายณัฐพงษ์โต้แย้งมา
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนอยากได้ความชัดเจนในเรื่องที่หนังสือฉบับนี้ตอบมาว่า คำว่าข้อบกพร่อง ประธานได้วินิจฉัยแล้วว่า ท่านมีอำนาจในการที่จะชี้ข้อบกพร่องในเชิงเนื้อหา แต่ขณะเดียวกันคำตอบของท่านในหน้าถัดไป ท่านบอกว่าท่านยินดีจะให้แก้คำในญัตติ เนื่องจากการแก้คำนั้นไม่ได้กระทบสาระสำคัญในญัตติ ซึ่งถ้าตนอยากจะเดินหน้าต่อสมมุติว่าพวกตนยอมปรับคำตามที่ประธานได้นำเสนอ เนื้อหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมมุติถึงวันในการอภิปรายจริง ตนมีสิทธิ์เต็มที่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในการอภิปรายเนื้อหาตามกรอบในญัตติโดยที่พวกตนจะไม่ถูกเบรกหรือระงับโดยประธานใช่หรือไม่
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยืนยันว่าถ้าท่านได้อภิปรายตามญัตติ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับท่านก็สามารถอภิปรายได้เต็มที่ไม่มีใครขัดขวางทานได้ยกเว้นว่าท่านอภิปรายผิดข้อบังคับก็อาจจะมีผู้โต้แย้ง ผู้เป็นประธานในที่ประชุมก็ต้องพิจารณา และให้ความเป็นธรรมตรงไปตรงมาตามข้อบังคับ เราอยากจะให้การประชุมของสภาฯดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะไม่ใช่แต่พวกเราเท่านั้น พี่น้องประชาชนทั่วประเทศเขาก็อยากฟัง แต่ไม่ใช่อยากฟังการประท้วงโต้ตอบไปมาจนกระทั่งสารัตถะของการประชุมที่ท่านต้องการและประชาชนอยากฟังนั้นมันขลุกขลัก
“นี่คือสิ่งที่ผมปรารถนาสุดยอดคือการประชุมโดยที่มีเหตุมีผลตามที่ต้องการ และไม่มีผู้ใดที่จะคอยประท้วง ทำให้การประชุมดำเนินไปไม่ได้ดี เพราะในที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในเรื่องสารัตถะ เรื่องการดำเนินการประชุมจะเป็นไปด้วยดี”ประธานสภาฯ กล่าว
จากนั้นนายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่าประการหนึ่งที่อยากจะได้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน ประธานยืนยันว่าถ้าตนไม่ทำผิดตามข้อบังคับก็ไม่น่ามีประเด็นอะไรซึ่งตามข้อบังคับระบุไว้ชัดเจนว่าพวกเราสามารถอภิปรายกล่าวถึงชื่อบุคคลภายนอกได้ หากไม่ได้ทำความเสียหายหรือถ้าสร้างความเสียหายผู้อภิปรายเป็นผู้รับผิดชอบเอง ซึ่งจากการให้ข่าวที่ผ่านมาของประธานฯระบุไว้อย่างชัดเจนว่าที่ประธานฯไม่สามารถให้พวกตนระบุชื่อนายทักษิณ ลงไปในญัตติได้ เพราะท่านประธานฯเสี่ยงที่จะเป็นคนที่ถูกฟ้องร้องเอง ดังนั้นถ้าวันนี้พวกตน ปรับคำไหนยุติหมายความว่าพวกตนยังสามารถเดินหน้าการอภิปรายต่อ และพูดชื่อบุคคลใดก็ได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยที่พวกตนเป็นผู้รับผิดชอบเอง อย่างนี้ประธานฯยืนยันตามหลักฐานตามหลักการหรือไม่
ประธานสภาฯจึงชี้แจงว่า ตามที่ผู้นำฝ่ายค้านฯบอกว่าจะเอ่ยชื่อบุคคลใดก็ได้ โดยโดยที่ท่านจะรับผิดชอบเอง ตนคิดว่าเป็นประเด็นของที่ประชุมนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้พูดจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียวเท่านั้น คนที่เป็นประธานในที่ประชุมถ้าไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยก็จะถูกตำหนิ และเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ตนก็ยินดีถ้าหากท่านไม่เอ่ยชื่อบุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอก ตนพูดตรงๆว่าไม่ได้หมายความถึงนายทักษิณ จะเป็นผู้อื่นหรือใครก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก ซึ่งไม่สามารถที่จะดำเนินการอภิปรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“ไหนๆ ก็พูดมาแล้วว่าที่เราจะดำเนินการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ซึ่งระบุชัดเจนว่าการยื่นญัตติเป็นการอภิปรายคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ หรือเป็นรายบุคคลท่านสามารถจะระบุรายชื่อรัฐมนตรีทั้งคณะ หรือเป็นรายบุคคลได้ แต่ถ้าในญัตติใส่ชื่อบุคคลภายนอกเข้าไปด้วย ท่านคงทราบว่าจะดำเนินการประชุมได้หรือไม่ เพราะเมื่อช่วงท่านอภิปรายเกี่ยวโยงอย่างไร ท่านก็สามารถจะพูดได้ บางครั้งการพูดอาจไม่ต้องใช้ชื่อ ท่านจะใช้อย่างอื่นคนก็รู้ได้ คนประท้วงก็ประท้วงไม่ได้ ผมแนะนำ แต่อยากให้การประชุมเป็นไปด้วยดี ไม่ได้บอกว่ามีชื่อนายทักษิณไม่ได้ แต่บุคคลภายนอกเป็นคนอื่นถ้าเอามาใส่ในญัตตินี้ก็คงจะกระทำไม่ได้เช่นเดียวกัน”นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พวกตนต้องการ สิทธิการประท้วง เป็นสิทธิอยู่แล้วถ้ามีการเอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สมาชิกอีกฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยเขามีสิทธิ์ประท้วง แต่สิ่งที่พวกตนไม่อยากเห็นคือบรรยากาศในที่ประชุมที่ประธานฯอาจจะไม่ได้วางตัวเป็นกลาง หรือไม่ได้เป็นไปตามข้อบังคับ เพราะหนังสือที่ประธานฯ ตอบกลับตนมาหน้า 3 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าการอภิปรายของสมาชิกผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหายสมาชิกผู้นั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง ดังนั้นวันนี้ตนอยากได้ความชัดเจนจากประธานฯ เพราะการบรรจุหรือไม่บรรจุญัตติอยู่ที่ถ้อยคำในญัตติ ซึ่งเป็นอำนาจของประธานฯ แต่เราตีความต่างกัน ตนยื่นยันว่าพวกเราเห็นว่าประธานฯไม่มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องของเนื้อหาสาระของญัตติ
“ถ้าวันนี้พวกผมจะยอมปรับถ้อยคำในญัตติ ผมอยากได้ความชัดเจนว่าถ้าในวันประชุมจริง ท่านประธานฯต้องยึดตามข้อบังคับว่า การอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอกกระทำได้ และพวกตนพร้อมที่จะเป็นผู้รับผิดรับชอบต่อการกระทำนั้นเองโดยที่ประธานจะไม่ใช้อำนาจของประธานในการขัดขวางการอภิปรายไม่ไว้วางใจ”นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ตนก็เคยใช้วาจาอย่างนี้ และเคยใช้ในสภาฯนี้ อาจจะคราวที่แล้ว โดยตนบอกจะรับผิดชอบเอง หากเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกถ้าเขาฟ้อง แต่ประธานก็บอกว่าไม่ได้เพราะพูดในสภาฯ ประธานที่ประชุมต้องรับผิดชอบในเรื่องกติกา และข้อบังคับ แต่ไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องที่เขาจะฟ้องใคร ถ้าประธานปล่อยให้มีการประท้วงโดยที่ผู้พูดและผู้ประท้วงบอกว่ารับผิดชอบแล้วประธานมาทำหน้าที่อะไร ทั้งที่มีหน้าที่ในการรักษาความเรียบร้อยในที่ประชุมซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับเพราะฉะนั้นนขอความกรุณาแต่ถ้าท่านพูดไปแล้วไม่มีคนประท้วง ประธานก็อาจจะปล่อยได้แต่ถ้ามีผู้ประท้วงประธานต้องวินิจฉัยข้อบังคับ จะมาบอกล่วงหน้าว่าประธานให้สัญญาได้หรือไม่ ว่าจะไม่ห้ามเมื่อพูดแล้วจะรับผิดชอบเองถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนอกห้องประชุมก็พูดได้แต่ในห้องประชุมประธานต้องทำหน้าที่ดูแลควบคุมการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย เพราะฉะนั้นประธานต้องทักทวงได้ จะไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ เพราะไม่ใช่นายณัฐพงศ์คนเดียวที่พูด อาจจะมีสมาชิกคนอื่นหรือรัฐมนตรีทำผิดกติกาข้อบังคับก็ได้ นายกฯทำเองตนก็ต้องทักท้วง
“ผมขอเรียนด้วยความสุจริตใจว่าเราจะให้คนใดคนหนึ่งหรือพูดล่วงหน้าไม่ได้เพราะกติกาข้อบังคับมีหลายข้อขอความกรุณา เมื่อท่านบอกว่ายินดีจะแก้ญัตติก็ขอให้แก้อยู่ในกติกา และผมไม่ใช่คนแรกที่ให้มีการแก้จะติผมอยู่ในสภานี้มา 40 ปีสมัยที่ท่านชวน เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนั้นนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาฯ ท่านก็ขอ ให้ผู้ยื่นญัตติคือท่านชวนกับคณะไปแก้ไข ซึ่งท่านชวนก็ไม่ได้เห็นด้วยว่าญัตติของท่านบกพร่อง แต่เพื่อให้ความร่วมมือการอภิปรายดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ท่านก็แก้ไขในบางส่วน สุดท้ายการประชุมก็ดำเนินไปด้วยดี ประชุมของสภาเราจะเอาความเห็นส่วนตัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้แต่ในที่สุดต้องร่วมมือกันเพื่อให้การประชุมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสุดท้ายเราก็มีการลงมติและประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยืนยันว่าผมไม่มีอคติ หากนายณัฐพงศ์จะแก้ญัตติก็ยินดีเพื่อให้ความร่วมมือ เป็นไปไม่ได้ถ้าเราจะดำเนินการอะไรโดยไม่มีความร่วมมือไม่ได้มีใครแพ้ใครชนะ ผู้ชนะคือประชาชน”ประธานสภาฯ กล่าว
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นกล่าวว่าตนเข้าใจประธานสภาฯมีความกังวล และหวาดกลัว แต่ประธานเปิดให้คนนอกมาชี้แจงด้วย ดังนั้นข้อบังคับที่ 76 เพื่อให้คลายความระแวงไปได้ สามารถอนุญาตให้นายกฯและรัฐมนตรีเอาบุคคลภายนอกเข้ามาชี้แจงได้ และเพื่อความเป็นธรรมของนายทักษิณ ประธานฯก็แค่ทำหนังสือถึงนายกฯว่า อนุญาตให้นายกฯพาบิดาเข้ามานั่งชี้แจงร่วมด้วยอันนี้ก็จะเป็นความเป็นธรรมของทั้งนายกฯและบิดาของนายกฯที่ชื่อทักษิณด้วย
นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้หมายความว่าตนระแวง หวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ตนไม่เคยระแวง และไม่ได้หวาดกลัวถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายและข้อบังคับ
ด้านนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงหลังถูกพาดพิง ว่า ขออธิบายสิ่งที่นายวันมูหะมัดนอร์พาดพิงถึงในญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจสมัยตอนที่ตนเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในปีนั้นมีการขอให้แก้ไขถ้อยคำในญัตติไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคลใด โดยถ้อยคำที่มีการขอให้แก้ไขคือญัตติที่ระบุว่ารัฐบาลกดขี่ข่มเหงข้าราชการ ซึ่งความจริงแล้วถ้อยคำนี้ไม่ควรต้องแก้ไข แต่ขณะนั้นรัฐบาลกลัวฝ่ายค้านมาก ชนิดที่ว่าต้องเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรมาสู้กับตน แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ โดยเห็นว่าเมื่อประธานสภาฯ ได้ขอให้แก้ไขคำว่า “กดขี่ข่มเหงราชการ” ให้เป็นอย่างอื่น เราจึงแก้เป็น “รัฐบาลชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกประชาชน” แก้แล้วหนักกว่าเดิม แต่ประธานสภาฯ ไม่สามารถให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ได้ ทำให้การอภิปรายในวันนั้นอภิปรายไปทั้งข้อความกดขี่ข่มเหงราชการและข้อความที่แก้ไขใหม่ ขอย้ำว่าไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคล
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ต่อไปนี้ถ้าประธานฯมีการใช้ดุลพินิจว่าห้ามใส่ชื่อบุคคลภายนอกแบบนี้ ต่อไปเราก็จะได้ทราบว่าเป็นบรรทัดฐานของการใช้อำนาจของประธานฯแบบนี้ เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ ตนได้ไปค้นคว้ากว่า 40 ปี ตั้งแต่มีสภาฯมา พบว่ามีหลายครั้งที่มีการพาดพิงบุคคลภายนอก และต้องตั้งคำถามว่าหากต่อไปนี้ท่านประธานฯบอกว่าควรจะมีการถอดชื่อโดยอ้างอิงถึงความบกพร่อง ซึ่งในมุมของพวกเราความบกพร่องต้องเป็นความบกพร่องในรูปแบบ เช่น ลายเซ็นไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนี้เราพร้อมน้อมรับ แต่เมื่อประธานบอกว่าความบกพร่องเป็นการใส่ชื่อบุคคลภายนอก เราคงต้องยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับการใช้ดุลพินิจแบบนี้ และอยากให้เป็นมาตรฐานแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ส่วนหนังสือที่ส่งมาที่ผู้นำฝ่ายค้าน แล้วปรากฏว่าเกิน 7 วัน นั่นคือวันที่ 8 มี.ค.ในแง่นี้มีการอ้างข้อบกพร่องตามข้อบังคับ ต้องภายใน 7 วันนั้นจะวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างไร
นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า เรื่องมาตรา 151 เป็นเรื่องสส.กับรัฐบาล และครม. ก็ต้องดำเนินไปตามกติกาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องจำนวนวัน ตนได้ถามหลายฝ่าย หลักคือไม่ต้องการให้สภาฯยืดเยื้อซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองการประชุม และฝ่ายกฎหมายก็ได้ชี้แจงแล้ว ยืนยันว่าในวันที่ 6 มี.ค.ตนได้เชิญผู้นำฝ่ายค้านฯ ไปคุยที่ห้องของตน แล้วบอกว่ามีข้อบกพร่องขอให้รับไปแก้ไข ผู้นำฝ่ายค้านจึงบอกว่าขอไปหารือก่อน ทั้งนี้ ตนคิดว่าการแจ้งด้วยวาจาชัดเจนกว่าด้วยซ้ำ และเถียงกันถือว่าเล็กมากประเด็นใหญ่คือทำอย่างไรเราจะได้อภิปราย และถ้าตนทำผิดก็ยินดีให้ดำเนินการตามมาตรา 157 ได้ไม่มีปัญหา