วันศุกร์, มีนาคม 14, 2025
หน้าแรกNEWS“พิชัย”ลุยเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูคาดได้ข้อสรุป 25 ธ.ค.นี้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พิชัย”ลุยเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูคาดได้ข้อสรุป 25 ธ.ค.นี้

“พิชัย” ถกกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า-ทูต EU เร่งเครื่องเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู คาดได้ข้อสรุป 25 ธ.ค.นี้ เชื่อมตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ สร้างแต้มต่อการค้า-การลงทุนให้ประเทศ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือผ่านระบบประชุมทางไกลกับ นายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (อียู) ตามนโยบายของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปการเจรจาภายในปีนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ ในการขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปให้มากขึ้น

โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงจุดยืนร่วมกันว่า การเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ไว้ใจได้และมีเสถียรภาพ” (trusted and predictable) ผ่านการจัดทำเอฟทีเอ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ไทยและอียู มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อข้อกำหนดในข้อตกลงเอฟทีเอนายพิชัยเน้นย้ำว่า ความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือทางวิชาการจากอียู จะมีส่วนช่วยให้การเจรจาประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น

โดยอียูเป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่และเป็นพันธมิตรทางการค้ารายสำคัญของไทย หากสามารถสรุปผลการเจรจา เอฟทีเอได้ จะช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในการแข่งขันระดับโลก ลดต้นทุนการผลิต ดึงดูดการลงทุน และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งขณะนี้ การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูดำเนินไปแล้ว 4 รอบ โดยสามารถสรุปผลการเจรจาได้ 2 บท และเริ่มหารือเรื่องการเปิดตลาดสินค้าและบริการแล้ว สำหรับการเจรจารอบที่ 5 ฝ่ายอียูจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 31 มีนาคม – 4 เมษายน 2568 โดยไทยกับอียูจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถบรรลุผลการเจรจาเอฟทีเอ ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2568

และแม้ว่าการเจรจาเอฟทีเอ ฉบับนี้จะซับซ้อนและมีประเด็นใหม่ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ พลังงานและวัตถุดิบ รัฐวิสาหกิจและการอุดหนุน การแข่งขันทางการค้า และระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างแข็งขัน ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และหารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเจรจาบรรลุผลและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภคไทย

นอกจากการหารือกับกรรมาธิการยุโรป นายพิชัยยังได้พบปะ นายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตอียูประจำประเทศไทย เพื่อหารือประเด็นการค้าอื่นๆ อาทิ กระบวนการระงับข้อพิพาทในองค์การการค้าโลก (WTO) การนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยไปยังตลาดอียูความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) การเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทยในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของอียู

นายพิชัย ย้ำว่า การเร่งสรุปเอฟทีเอ ไทย-อียู ไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าการค้า แต่เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย โดยไทยจะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้เพื่อขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปให้มากขึ้น ซึ่งเอฟทีเอ ไทย-อียู จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อการแข่งขันในเวทีโลก

โดยอียูเป็น คู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย (รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) โดยมีมูลค่าการค้ารวม 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.54 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็น 7.17% ของการค้ารวมของไทยกับโลก ไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 24,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 850,000 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญอาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และชิ้นส่วน และไทยนำเข้าจาก EU มูลค่า 19,328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 687,000 ล้านบาท) สินค้านำเข้าสำคัญ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องบินและอุปกรณ์การบินเคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้า

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img