ควันหลงจากกรณีที่ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ส่ง ชาวอุยกูร์ ที่ถูกทางการไทยกักตัวไว้ เพื่อรอส่งไปยังประเทศที่สาม กลับประเทศจีนแบบมีเงื่อนงำ นัยว่า เป็นไปตามคำขอร้องของรัฐบาลจีน เพื่อแลกกับการช่วยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ที่สร้างความเสียหายทางทรัพย์สินเงินทองของคนไทยมหาศาล และคนจีนจำนวนไม่น้อยถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกมาทำงาน กำลังจะกลายเป็นปัญหาบานปลายส่งผลกระทบถึงเรื่องเศรษฐกิจการค้าการส่งออกของไทยไปเสียแล้ว
คงยังจำกันได้ ทันทีที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน เสียงประณามจาก “ยูเอ็น” และอีกหลายๆ ประเทศรวมถึง สหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากจะประณามแล้ว สถานทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย และ สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ยังประกาศเตือนให้ประชาชนของตนที่อยู่ในประเทศไทยระวังอันตราย อาจจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงให้หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยงพื้นที่ที่มีคนมาก

แค่สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น “ประกาศเตือน” ข่าวย่อมแพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ประเทศไทย ทำให้ “การท่องเที่ยว” พลอยโดนหางเลขไปด้วย นักท่องเที่ยวที่คิดจะมาเที่ยวเมืองไทย คงเปลี่ยนใจไม่มีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยง เพราะเคยมีโศกนาฏกรรมจากกรณีนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เกรงว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอย สะเทือนถึงการท่องเที่ยวไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวนักท่องเที่ยวไม่เป็นไปตามเป้า สถานการณ์อาจจะแย่ลงกว่าเดิม ทั้งที่เป็นเครื่องยนต์เดียวที่เป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในยามที่เครื่องยนต์ส่งออกก็ทำงานไม่เต็มที่
ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐสภายุโรป ผ่านมติร่วมประณามไทยที่เนรเทศชาวอุยกูร์กลับจีน เป็นการซ้ำเติมแผลเดิมให้ถ่างกว้างขึ้นอีก โดยมติดังกล่าว ระบุว่า “ทางการไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คน ไปยังจีน ซึ่งพวกเขาเสี่ยงต่อการถูกกักขังโดยพลการ การทรมาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ในขณะที่ประเทศที่ปลอดภัยอื่นๆ ได้เสนอให้ที่อยู่ใหม่แก่ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ซึ่งก่อนเนรเทศบุคคลเหล่านี้ถูกควบคุมตัวในศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองของไทยเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ซึ่งมีรายงานว่าชาวอุยกูร์ อย่างน้อย 5 ราย รวมถึงผู้เยาว์เสียชีวิตเนื่องจากสภาพที่ไร้มนุษยธรรม”
ที่ประชุมยังมีข้อเสนอบางเงื่อนไขที่จะใช้กดดันไทย โดยรัฐสภายุโรปได้เรียกร้องไปยังคณะกรรมาธิการยุโรป ใช้ประโยชน์จากการเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กดดันให้ประเทศไทยปฏิรูปกฏหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ
การใช้เงื่อนไขด้านการค้าระหว่างประเทศ มาเป็นเครื่องมือกดดัน เป็นไม้ตายที่ “กลุ่มอียู” ค่อนข้างถนัดและใช้ได้ผล จนเราต้องปฏิบัติตาม
ยังคงจำกันได้เมื่อครั้ง “อียู” ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าบีบไทยแก้กฏหมายประมง ที่เป็นการทำประมงแบบผิดกฏหมาย ขาดการรายงาน ขาดการควบคุม (IUU) ส่งผลกระทบธุรกิจประมงของไทยต้องเจ๊งระเนระนาด เรือประมงนับพันๆ ลำ ต้องถูกทิ้งไว้ชายฝั่ง ไม่สามารถออกไปจับปลาได้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล
คราวนี้เช่นกัน “อียู” งัดมาตรการการเจราการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึงมาตรการ “เอฟทีเอ” เป็นไม้ตายบีบไทย ซึ่งจะทำให้การเจรจาเอฟทีเอ.ทั้งสองฝ่ายในรอบต่อไป มีอุปสรรคขัดขวางไม่ราบรื่นแน่ๆ
ที่ผ่านมา ไทยพยายามเร่งเครื่องการเจรจามาโดยตลอดเพื่อจะใช้สิทธิพิเศษระหว่างกัน ในการขยายตลาดและดึงนักลงทุนจากยุโรปเข้ามาลงทุนในประเทศไทย การเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยและยุโรป เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยรอมานานเกือบๆ สิบปี
ขณะที่เวียดนามมาทีหลังไทย แต่สามารถเจรจาสำเร็จไปแล้ว ทำให้เกิดข้อตกลงใหม่ๆ ระหว่างเวียดนามกับยุโรปมากมาย ที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเวียดนามอย่างมหาศาลอย่างที่เห็นๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกการค้าทุกวันนี้ “เอฟทีเอ” มีความสำคัญกับไทยมากๆ ประกอบกับ “อียู” เป็นตลาดใหญ่มีสมาชิกทั้งหมด 27 ประเทศ ที่สำคัญ “อียู” เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจาก จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น แต่ไทยขาดดุลจีนกับญี่ปุ่นมาโดยตลอด แต่กลับเกินดุลการค้าสหรัฐฯกับอียู.
การค้าไทยกับอียูในปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 1.77 ล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายส่งออกเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12 ทำให้ไทยได้ดุลการค้าอียูกว่า 2 แสนล้านบาท และถ้าการเจรจาเอฟทีเอสำเร็จ จะทำให้จีดีพี.ของไทย โตขึ้นอีกร้อยละ 1.8 ทันที
แต่เมื่อ “อียู” ใช้เงื่อนไขการเจรจา “เอฟทีเอ” มากดดัน น่าจับตาดูว่า “รัฐบาลแพทองธาร” จะแก้หมากเกมนี้อย่างไร???
ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก จู่ๆ “มาร์โค รูบิโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ออกประกาศ “จำกัดการออกวีซ่า” และ “ยกเลิกวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย” ที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน
เรื่องนี้ไทยอาจจะต้องระมัดระวังท่าทีอย่างมาก เนื่องจากกำลังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯในประเด็นการค้าด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นโอกาสที่ไทยจะโดนมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลไทย ก็มีความเป็นไปได้สูง

มิอาจปฏิเสธว่า สหรัฐฯมีความสำคัญกับ “สินค้าส่งออกของไทย” อย่างมาก และยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยมานาน ในปีที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าต้องโดนมาตรการกีดกันทางการค้ามาซ้ำเติม นั่นหมายความว่า เราจะสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญไปในที่สุด แม้การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯจะเป็นรองการค้าระหว่างไทยกับจีนก็ตาม แต่ไทยกลับขาดดุลการค้าจีนมาตลอด ล่าสุดไทยขาดดุลจีนมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว
วิกฤติครั้งนี้ หนักกว่าที่คิดไว้มาก ยิ่งหากปัญหาลุกลามบานปลายไปถึงการค้าการส่งออกของไทยไปยังตลาดยุโรปและอเมริกาที่มีสัดส่วนรวมกัน มากถึงร้อยละ 26.4 เป็นตัวเลขไม่น้อยเลยทีเดียว ในยามที่ส่งออกไทยยังมีแต่ทรงกับทรุด
………………………………..
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
