วันพุธ, เมษายน 16, 2025
หน้าแรกHighlight‘หมอ’ย้ำ‘เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘หมอ’ย้ำ‘เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้’

“หมอธีระวัฒน์” แจงข้อดี “เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้” เปิดรายงานระบุชัดๆ กินพริกหยวก พริกตุ้ม แดง เขียว เหลือง มะเขือเทศ รวมถึงพริกขี้หนู สามารถป้องกันและชะลอโรคสมองเสื่อมได้

เมื่อวันที่ 16 เม.ย.68 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์แสดงความเห็นในหัวข้อ “เพียงแค่กินพริกก็ช่วยสมองได้” มีเนื้อหาว่า…“เรื่องของพริกน่าจะต้องย้อนกลับไปถึง ตำนานของบุหรี่ ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ประหลาด ที่สังเกตว่า คนสูบบุหรี่แม้จะตายยับจากมะเร็ง ป่วยหลอดลม ถุงลมและโรคอื่นมหาศาล ทรมานตลอด แต่กลับมีโรคทางสมองเสื่อมน้อยกว่าและดูจะค่อยๆ รุนแรงอย่างช้าๆ แต่เผอิญตายก่อนที่จะติดตามได้ชัดเจน เพราะโทษและพิษภัยของบุหรี่

ดังนั้นจึงเป็นที่มาในการตั้งสมมุติฐานว่า ในบุหรี่อาจมีสารบางอย่าง ที่ช่วยปกป้องสมอง ยกตัวอย่างเช่น นิโคติน และมีศึกษาติดตามระยะยาวของคนที่กินพริก

รายงานในวารสารประสาทวิทยา (Annals of neurology) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 พบว่า การกินพริก (ไม่ใช่พริกไทย) ทำให้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน พริกอยู่ในตระกูล Solanaceae (capsicum และ solanum) เช่นเดียวกับยาสูบ มีหลักฐานมากมายมหาศาลไม่ต่ำกว่า 60 รายงาน ที่พบว่า คนสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นพาร์กินสันน้อยลง แต่ไม่มีใครอยากตายจากมะเร็ง โรคปอดจากการสูบบุหรี่

รายงานนี้จับประเด็นตรงที่พริกมีปริมาณนิโคตินสูง ดังนั้น อาจจะให้ผลเหมือนกับการสูบบุหรี่ จากการประเมินผู้ป่วยพาร์กินสัน 490 ราย เทียบกันคนปกติ 644 ราย เกี่ยวกับการรับประทาน อาหารและชนิดของเครื่องปรุง พบว่า คนที่บริโภคพืชที่อยู่ในตระกูล Solanaceae สัมพันธ์กับการไม่เกิดโรคพาร์กินสัน แต่ชนิดของอาหารที่สำคัญที่สุดคือพริก และลดความเสี่ยงได้ถึง 30% แม้แต่มะเขือเทศจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ประโยชน์ที่ได้ดูจะน้อยกว่าพริก ทั้งนี้อาจจะเป็นจากการที่มะเขือเทศมีปริมาณนิโคตินน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่า นิโคตินอย่างเดียวหรือมีสารอื่นๆในพริกที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพาร์กินสัน

รายงานจากการประชุมล่าสุดของสมาคมอัลไซเมอร์ และเป็นการประชุมนานาชาติในปี 2565 นี้เอง ทำการศึกษาคนที่เป็นอัลไซเมอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เสียชีวิต 654 ราย และทำการชัณสูตรสมอง ทั้งนี้ พบพยาธิสภาพของโรคนี้อย่างรุนแรงตามมาตรฐานของ National Institute on Aging-Reagan criteria pathology ซึ่งรวมลักษณะผิดปกติของการมี neuritic plaques และมีพยาธิสภาพในขั้น V/VI ตาม Braak & Braak staging

ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดได้ไปพบแพทย์ในระยะสองปีก่อนเสียชีวิตและได้ประเมินการทำงานของสมองด้วยการทดสอบ MMSE ทั้งนี้ ด้วยคะแนนที่ 24 หรือมากกว่า หมายความว่า การทำงานพุทธิปัญญายังพอใช้ได้ ช่วยตัวเองได้

และจำนวนทั้งหมดนี้มี 59 รายหรือ 9% ที่การทำงานของสมองยังดูดีอยู่ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีความทนทานและยืดหยุ่นแม้ว่าในสมองตอนตายแล้วในเวลาถัดมาจะเสียหายมากมายมหาศาลไปแล้วก็ตาม โดยในจำนวนที่เหลืออีก 595 รายหรือ 91% สภาพการทำงานอยู่ในระดับแย่

ทั้งๆ ที่ ลุ่มที่ยังมีสมองดี จะมีอายุมากกว่าก็ตาม ในการพบหมอครั้งสุดท้ายคืออายุ 81.4 ปี เทียบกับ 77.7 ปี (P=0.005) รวมทั้งอาจมีจำนวนปีของการศึกษามากกว่าบ้างคือ 16.5 ปีเทียบกับ 15.1 ปี (P=0.01) และแถมยังมีสภาวะหดหู่ซึมเศร้าน้อยกว่า ย้อนหลังไปนานกว่าสองปี นับจากพบหมอครั้งสุดท้าย คือ 17.5% เทียบกับ 29.5% (P=0.05) แต่กลับมีโรคประจำตัวมากกว่าที่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด คือ 55.2% เทียบกับ 38.2% (P=0.01)

ในกลุ่มที่การทำงานของสมองยังดี กลับพบว่าสูบบุหรี่มาตลอดชีวิต 66.7% เทียบกับ 45.7% ของกลุ่มสมองแย่ (P=0.002) และกลุ่มที่สมองยังดีอยู่นี้ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่สูบบุหรี่มาไม่นานภายใน 30 วันก่อนที่จะทำการตรวจครั้งสุดท้าย คือ 13.2% เทียบกับ 4.6% (P=0.03)

เมื่อจัดการปรับกระบวนการทางสถิติเป็น multivariate analysis แทน bivariate ดังข้างต้น ยังคงยืนยันว่ากลุ่มที่สมองยังดี แก่กว่า มีปีการศึกษานานกว่า และผอมกว่าโดยมีมวลดัชนีกาย หรือ BMI น้อยกว่า และเป็นคนที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตและยังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกร็ดเลือดมากกว่า

การใช้ยาต้านเกร็ดเลือดแอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด จะสัมพันธ์ค่าสถิติในการปกป้องสมองในอัลไซเมอร์ OR=1.87 ในขณะที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะมี OR=2.78

ข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่และอัลไซเมอร์ ดูคล้องจองกับอีกหนึ่งรายงานในโรคพาร์กินสันเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่าบุหรี่ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 40%

ทั้งนี้คณะผู้วิจัยรวมทั้ง หมอทั่วโลกและตัวหมอเอง ยืนยัน นั่งยันว่า บุหรี่ไม่ใช่ทางออก ทางเลือกแม้การสูบบุหรี่ดูเหมือนจะทำให้สมองที่พังแล้วยังดูทนทานและคล้ายกับสมองยังดีได้ แต่ผลกระทบกลับมากมาย และคนสูบบุหรี่ที่ยังรอดชีวิตอยู่ดังในรายงานนี้น่าจะไม่ได้มีมากนัก ในประชากรทั่วไป

สำหรับข้อสรุปการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกร็ดเลือด อาจตีความจากคณะผู้วิจัยว่า มีผลช่วยให้สมองทนทานขึ้น

แต่ข้อสรุปนี้เป็นการตีความจากการติดตามทางระบาดวิทยาเท่านั้น ยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุและผลกันได้ชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของบุหรี่ซึ่งเมื่อใช้พริกที่มีปริมาณนิโคตินอยู่บ้างที่ไม่เป็นอันตราย กลับได้ผลเช่นกันในโรคพาร์กินสัน

ทั้งนี้เนื่องจากกลไกของการเกิดสมองเสื่อมทั้งสองโรค คล้ายกันด้วยการก่อตัวของโปรตีนพิษบิดเกลียว

ดังนั้น การกินพริกหยวกพริกตุ้ม แดง เขียว เหลือง มะเขือเทศ รวมไปจนกระทั่งถึงพริกขี้หนู ควรจะเป็นกระบวนการที่ต้องส่งเสริมที่สำคัญ โดยทั้งสามารถป้องกันและชะลอโรคที่เกิดขึ้นแล้วได้

และ หยุดบุหรี่เด็ดขาดเอาบุหรี่ขุดหลุมฝัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปสูบต่อ หยุดเดี๋ยวนี้เพื่อตนเองครอบครัวสังคมและระบบสาธารณสุขไทย

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img