วันพุธ, เมษายน 23, 2025
หน้าแรกHighlight‘ทรัมป์’แจงไม่ได้ไล่‘ประธานเฟด’พ้นเก้าอี้ ส่งผลเงินบาทเปิดเช้าวันนี้อ่อนค่าลงหนัก
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ทรัมป์’แจงไม่ได้ไล่‘ประธานเฟด’พ้นเก้าอี้ ส่งผลเงินบาทเปิดเช้าวันนี้อ่อนค่าลงหนัก

เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.63 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงหนัก หลัง “ทรัมป์”แจงไม่ได้ไล่ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง ซึ่งภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ อีกครั้ง ส่งให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดบวก 2.51%

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.63 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์โดยนับ ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.18-33.70 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนลงบ้าง จากคำสัมภาษณ์ของทั้งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังลดความกังวลต่อประเด็นการเมืองเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระบุว่า ไม่ได้ต้องการที่จะไล่ประธานเฟด Jerome Powell ออกจากตำแหน่ง ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนให้บรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย ยอดนิยมในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ ได้กดดันให้ เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังคำสัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีคลังล่าสุด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังได้ระบุว่า ไม่ได้มีความต้องการไล่ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง ซึ่งภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯอีกครั้ง ส่งให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +2.51%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.25% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ L’ Oreal +6.3% ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันโดยแรงขายหุ้น Novo Nordisk -7.4% หลังผลทดลองของยาลดน้ำหนักตัวใหม่ของ Eli Lilly นั้นออกมาดี จนอาจกระทบยอดขายยาลดน้ำหนักยอดนิยมของ Novo Nordisk (Ozempic) อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้หนุนให้ สัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นยุโรป (STOXX50) ล่าสุดปรับตัวขึ้น +1.6%

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯจะพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) แต่ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และประเด็นการแทรกแซงเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯก็หนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาศัยจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จนทะลุโซน 4.40% ในการทยอยเข้าซื้อ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.35%

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯที่ฟื้นตัวขึ้น กดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงทะลุระดับ 142 เยนต่อดอลลาร์ ทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.3-99.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ดิ่งลงหนัก สู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เฟดมีโอกาสราว 28% ที่จะลดดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ (ลดลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และลดความกังวลต่อประเด็นการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ

ขณะที่เอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งเราประเมินว่า BI จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) แต่ก็มีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีนี้ เพื่อประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าลงเร็วและแรงของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น อาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้มองว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน อาจส่งผลดีต่อทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงฝั่งเอเชียด้วยเช่นกัน สะท้อนผ่านการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินหยวนจีน ในช่วงเช้านี้ (เงินหยวนจีน ยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาท สูงถึง 80% เมื่อประเมินจาก 30-day correlation) และที่สำคัญ หากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หรือแกว่งตัวในกรอบ Sideways เป็นอย่างน้อย ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือกลับมาหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทก็ยังมีอยู่ โดยเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมามีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯมากขึ้น ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานดัชนี S&P PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯอื่นๆ ในคืนนี้ ว่าจะออกมาดีกว่าคาด หรือปรับตัวดีขึ้นจากรายงานครั้งก่อนได้หรือไม่ ส่วนโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ และจะทยอยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัดได้เช่นกัน โดยประเมินว่า โซนแนวต้านใหม่ของเงินบาทอาจขยับมาอยู่แถว 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับอาจอยู่ในช่วง 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.75 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img