ถึงตอนนี้ ปมเรื่อง “ชั้น 14 รพ.ตำรวจ-นักโทษเทวดา ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกรัฐมนตรี” องค์กร-หน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่อง ว่ามีการช่วยเหลือไม่ให้ “ทักษิณ” ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ด้วยการให้นอน รพ. 180 วัน จนพักโทษ ไม่ได้มีแค่ 2 หน่วยงานที่เข้าตรวจสอบอย่างเป็นทางการ
คือหนึ่ง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) ที่มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีชั้น 14 โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน เจ้าหน้าที่รัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน
และสอง การตรวจสอบของ “แพทยสภา” ที่เป็นองค์กรวิชาชีพของ “แพทย์ทั่วประเทศ” ซึ่งมีอำนาจเต็มในการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ โดยสามารถเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพแพทย์ได้เลย หากพบว่า รักษาคนไข้โดยผิดจริยธรรมแพทย์ ซึ่งหลังจากคณะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ รพ.ตำรวจ-รพ.ราชทัณฑ์ ได้เลื่อนการนำผลสรุปการสอบสวนเข้าที่ประชุมใหญ่แพทยสภา จากเดิม 10 เม.ย. โดยอ้างว่ามีการส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติม ดังนั้นต้องรอดูว่า การประชุมแพทยสภา ประจำเดือนพ.ค.คือวันที่ 8 พ.ค.นี้จะเลื่อนออกไปหรือไม่

สาเหตุหนึ่งที่การไต่สวนของป.ป.ช.ไม่คืบหน้า ก็เพราะ “ป.ป.ช.” ต้องการนำผลการพิจารณาของ “แพทยสภา” ที่มีการสอบสวนแบบลงลึกการรักษา “ทักษิณ” มาเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการไต่สวนของป.ป.ช.นั่นเอง
จึงทำให้ผลสรุปการสอบของ “แพทยสภา” ไม่ว่าจะออกมาแบบไหน จะมีผลสองเด้งคือ จะมีผลทั้งต่อการสอบจริยธรรมแพทย์และผลต่อการไต่สวนของป.ป.ช. นั่นเอง
ขณะที่ต้องรอลุ้น “ฉากแรก” กับ การประชุมแพทยสภา 8 พ.ค. ที่ก็ไม่มีหลักประกันได้ว่า จะเลื่อนอีกหรือไม่ แต่หากเลื่อน ก็เลื่อนได้อีกแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น คือไม่เกิน มิ.ย. และก็ต้องลุ้นอีกว่า ผลการสอบสวนออกมาอย่างไร และที่ประชุมแพทยสภา จะลงมติอย่างไร จะลงโทษแพทย์ รพ.ตำรวจ-แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์หรือไม่ ก็คือรออีกประมาณเกือบสองสัปดาห์
ทว่า ระหว่างการรอดังกล่าว มีจังหวะกั้นเข้ามาแทรกแซง ในเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ให้ทั้ง “ทักษิณ” และคนที่เกี่ยวข้องในกรมราชทัณฑ์-กระทรวงยุติธรรม-รพ.ตำรวจ-รพ.ราชทัณฑ์ ต้องนอนสะดุ้งเพิ่มขึ้นอีก หลังเรื่องนี้ “องค์กรศาล” 2 แห่ง คือศาลฎีกาและศาลปกครองฯ อาจจะเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย
เริ่มจากสัปดาห์นี้ วันพุธที่ 30 เม.ย. เวลาบ่ายโมง ที่ศาลฎีกาฯนัด “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณี “ทักษิณ” ไม่ได้ติดคุกจริง ตามคำตัดสินของศาลฎีกาฯ
หลังก่อนหน้านี้ “ชาญชัย” ยื่นไปแล้ว 2 รอบ แต่ศาลฎีกาฯไม่รับคำร้อง และมีการยื่นไปอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด
ความคืบหน้าล่าสุดก็คือ ศาลฎีกาฯนัด “ชาญชัย” ไปที่ศาลในวันพุธนี้ 30 เม.ย. โดยยังไม่แน่ชัดว่า นัดไปเพื่อเหตุผลใด?
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อครั้ง “ชาญชัย” ยื่นคำร้องไป ศาลฎีกาฯไม่รับเรื่อง โดยศาลให้เหตุผลว่า เมื่อศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล จึงยกคำร้อง

แต่มารอบนี้ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 ศาลฎีกาฯนัดให้ “ชาญชัย” ไปฟังคำสั่งในคำร้องคดีดังกล่าว แต่เมื่อถึงวันนัดฟังคำสั่ง ศาลฯได้อ่านคำสั่งว่า เนื่องจากคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการ จึงให้เลื่อนฟังคำสั่ง และเมื่อมีคำสั่งเพิ่มเติม ศาลฯจะแจ้งให้ผู้ร้องมาฟังคำสั่งเพิ่มเติมในภายหลัง พร้อมทั้งสั่งห้ามไม่ให้ผู้ร้องเผยแพร่หรือถ่ายภาพคำร้องฯใดๆ ในระหว่างการพิจารณาคดี
ดังนั้น ต้องรอดูกันว่า 30 เม.ย. ศาลฎีกาฯจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร???
เพราะศาลฯอาจแจ้งกับ “ชาญชัย” ว่าไม่รับคำร้องเป็นครั้งที่ 3 ก็ได้ หรืออาจมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา
แต่คาดว่า อย่างไรเสีย ศาลฎีกาฯคงจะไม่มีการออกคำสั่งใดๆ ที่จะมีผลให้ “ทักษิณ” ต้องกลับเข้าเรือนจำแน่นอน เพราะยังไม่มีการไต่สวนใดๆ ซึ่งดูเหมือนว่า “นักกฎหมายบางส่วน” จะออกมาฟันธงล่วงหน้าแล้วว่า ไม่น่าจะมีอะไรตื่นเต้น ชนิดเกิดแผ่นดินไหวแถวบ้านจันทร์ส่องหล้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในวันดังกล่าว เพราะเรื่องการให้ “ทักษิณ” รับโทษตามคำตัดสินของศาล เป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ไม่ได้เกี่ยวกับศาลแล้ว
กระนั้น ต้องรอดู 30 เม.ย. ผลจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีมุมโต้แย้งว่า เคยมีเคสของ “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตประธานนปช.ในปี 2564 ที่ศาลฎีกาฯให้นับโทษ “จตุพร” ต่อในคดีที่ถูก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ฟ้องเรื่องหมิ่นประมาท จน “จตุพร” ต้องกลับไปเข้าคุกอีก 11 เดือน 16 วันแม้จะเคยมีคำสั่งให้ปล่อยตัวออกมาแล้วก็ตาม
ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็รอดูกันกลางสัปดาห์นี้
ซึ่งแค่ที่ศาลฎีกาฯยังไม่พอ กรณีชั้น 14 “ทักษิณ” อาจต้องไปลุ้นที่ “ศาลปกครอง” อีก
หลังเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งเรื่องถึง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตาม พรป.ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดย ขอให้เพิกถอนการกระทำ ของ “เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ “ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร-อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ปลัดกระทรวงยุติธรรม-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” ที่ได้บังคับใช้กฎหมายที่ไม่ครบถ้วน กรณีของ “ทักษิณ” ที่มีการกระทำของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และโดยไม่สุจริต
ที่สรุปง่ายๆ คือเป็นการ ขอให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ทำหน้าที่เสมือน “บุรุษไปรษณีย์” คือเป็น “ผู้ร้อง” ยื่นเรื่องให้ “ศาลปกครอง” มีการไต่สวนกรณี “ทักษิณ” เพื่อให้เอาตัว “ทักษิณ” กลับเข้าเรือนจำนั่นเอง หากศาลปกครองชี้ว่า การที่ “ทักษิณ” ไปนอนรพ.ตำรวจครึ่งปี และพักโทษอีกครึ่งปี เป็นเรื่องที่กระทำโดยมิชอบ

ล่าสุด ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ออกมาย้ำว่า “ได้เตรียมส่งหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือกรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงข้อเท็จจริง มาประกอบกับข้อกฎหมายในเรื่องของหลักเกณฑ์ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมส่งเรื่องไปให้ศาลปกครองพิจารณาต่อไป โดยมีการกำหนดกรอบระยะเวลาไว้ 30 วัน หากส่งมาถึงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ก็คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการส่งต่อไปยังศาลปกครอง”
ที่ดูทรงแล้ว “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” น่าจะยื่นเรื่องไปที่ “ศาลปกครอง” แน่นอน ส่วนว่าส่งไปแล้ว “ศาลปกครอง” จะว่าอย่างไร ต้องไปดูอีกที
โดยแม้ว่า กระบวนการพิจารณาของศาลปกครองจะใช้เวลานาน มีทั้ง “ศาลปกครองกลาง-ศาลปกครองสูงสุด”
แต่เชื่อว่า พลันที่ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” มีมติให้ส่งคำร้องไปยัง “ศาลปกครอง” เพื่อให้ศาลไต่สวนเรื่องชั้น 14 ตัว “ทักษิณ” คงเอามือก่ายศีรษะ ที่เรื่องนี้…ยังตามหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น ทั้งในชั้น “ป.ป.ช.-แพทยสภา-ศาลฎีกาฯ” และกำลังจะมี “ศาลปกครอง” ตามมาอีก!
………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”