“ภูมิธรรม” เร่งถกเขมร ลดตึงเครียด “ตาเมือนธม” สั่งทหารถอยร่น กลับที่ตั้งเดิม หวังคลี่คลายสถานการณ์เผชิญหน้า
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ หลังกองกำลังทหารของไทยและกัมพูชาเผชิญหน้ากัน โดยยืนยันว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยในระดับนโยบายแล้ว เพื่อลดการเผชิญหน้าและให้ทั้งสองฝ่ายถอยกำลังกลับไปยังที่ตั้งเดิม
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ได้มีการประสานงานในระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศแล้ว พร้อมกำชับให้แม่ทัพนายกองในพื้นที่เร่งพูดคุยและสั่งการให้กำลังพลของตนเองถอยห่างจากพื้นที่พิพาท โดยยึดมั่นในหลักการเดิมคือการกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อตกลงเกี่ยวกับพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม นายภูมิธรรมกล่าวว่า อาจมีการพิจารณาให้ถอยกำลังออกจากพื้นที่ปราสาททั้งสองฝ่าย โดยให้ทหารในพื้นที่เป็นผู้ตกลงในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญคือการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและความร่วมมือ
“อย่าไปคิดว่าเป็นการเสียเปรียบ แต่เราพยายามลดความขัดแย้ง ก็ให้ถอยออกมาก่อน แล้วค่อยว่ากันในรายละเอียด ในระดับของผู้บังคับการกองพล หรือระดับภาค หลังจากประสานกันทั้งหมด ทุกอย่างจะกลับไปสู่จุดเดิม” นายภูมิธรรมกล่าว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่การถอยออกจากเขตแดน แต่เป็นความพยายามในการหลีกเลี่ยงการปะทะ และให้ทั้งสองฝ่ายกลับไปอยู่ในจุดเดิมตามข้อตกลงที่เคยมี เพื่อเปิดทางให้มีการพูดคุยในรายละเอียดต่อไป
ในวันเดียวกัน ได้มีการปิดห้องหารือระหว่างนายภูมิธรรม และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา รวมถึงการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใหม่
นายภูมิธรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการกำลังรบและรถถังในพื้นที่ รวมถึงประเด็นการขึ้นมาท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธมของชาวกัมพูชา จะมีการหารือในระดับปฏิบัติการต่อไป โดยยึดมั่นในข้อตกลงเดิมที่เคยมีร่วมกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยเชื่อมั่นว่าการพูดคุยและประสานงานในทุกระดับจะนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์บริเวณปราสาทตาเมือนธม และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาต่อไป