จับตา! ผลสอบแพทยสภา 8 พ.ค. นี้ เชื่อทำการเมืองเปลี่ยน คาดทักษิณป่วยทิพย์มีหนาวคุก ส่วนหมอ รพ.ตำรวจ-ราชทัณฑ์ อาจถูกถอนใบอนุญาต แว่วข่าวมีถึง 7 หมอช่วยกันอุ้มนักโทษหนีคุก ท้าเพื่อไทยโหม ปชช.เข้าใจเอนเตอร์เทนเมนต์ฯ ไม่ใช่บ่อนกาสิโน อย่ารอช้าให้สภาพิจารณาสมัยวิสามัญเลย จะได้จบสิ้นกันไป
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อนว่า บ้านเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยให้จับตาดูผลการสอบสวนของแพทยสภาในวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลถึงการนัดพร้อมหรือไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกาฯ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ
อีกทั้งย้ำว่า ผลสอบสวนจริยธรรมแพทย์ของคณะอนุกรรมการแพทยสภาในวันที่ 8 พ.ค.นี้ โดยมีรายงานแว่วมาว่า สั่งพักใบอนุญาตแพทย์ รพ.ตำรวจเบื้องต้น 2 คน และสอบเพิ่มเติมอีก 5 คนทั้งแพทย์ 2 โรงพยาบาลคือ รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ และผลสอบคาดจะออกมาหนักกว่า 2 คนแรกเสียด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าผลของแพทยสภาออกมา ศาลฎีกาฯ สามารถเรียกผลสอบมาไต่สวนเพิ่มได้ เพราะเป็นความผิดที่ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้รับโทษทางอาญา ดังนั้น กรณีนี้จะกลับไปพิจารณาถึงการป่วยจริงหรือป่วยไม่จริง ถ้าทักษิณ ชินวัตร ไม่ป่วยจริงย่อมไม่มีสิทธิ์อยู่ รพ.ตำรวจชั้น 14 ซึ่งเป็นห้องพักผู้ป่วยวีไอพี
นอกจากนี้ กรณีชั้น 14 ยังลามไปถึง ปปช.ที่ทำการตรวจสอบด้วย ดังนั้น การชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องที่ส่งไปทุกองค์กรต้องเหมือนกันในสาระสำคัญ ยิ่งในชั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนของ ปปช. สรุปผลสอบสวนข้าราชการปฎิบัติมิชอบและส่งให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณา ซึ่งพร้อมจะขยายผู้เกี่ยวข้องออกไปอีก แสดงว่าเรื่องชั้น 14 จบไม่ง่ายเลย
“บ้านเมืองต้องยึดหลักความถูกต้องให้ได้ เมื่อปฏิบัติกับทุกคนในกฎหมายเดียวกัน แล้วจะละเว้นใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ มิฉะนั้นบ้านเมืองอยู่กันไม่ได้ ดังนั้นไม่รู้ว่าทักษิณคิดอะไรในขณะนี้ จะอยู่หรือจะไป แต่โดมิโนชั้น 14 จะลามไปถึงนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าศาลฎีกาฯ สงสัยผู้มีสิทธิ์เข้าเยี่ยมทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จำนวน 10 รายชื่อนั้น หากเรียกมาไต่สวนแล้วให้การขัดกัน ไม่สอดคล้องกับคำให้การของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ไปยี่ยมแล้วเห็นว่า ไม่ป่วยจริง ดังนั้น 10 รายชื่อที่เข้าเยี่ยมจะเข้าข่ายร่วมกันปกปิด
“ถ้าบ้านเมืองไม่สามารถเอาผู้สารภาพได้ทำความผิดในคดีคอร์รัปชั่นมาลงโทษได้ ก็ไม่สามารถปราบปรามการทุจริตได้เช่นกัน และการทุจริตจากหลายหน่วยงานจะเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วบ้านเมืองจะอยู่กันแบบน้ำเน่ากันแบบนี้เหรอ”
ส่วนนายกฯ อุ๊งอิ๊ง เร่งตั้งเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ให้ได้ โดยบอกต่างชาติมาลงทุนและไทยไม่เสียอะไรเลยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่จริง แต่ตรงกันข้ามไทยกลับเสียทุกอย่างทั้งพื้นที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยที่สวยงามและราคาแพงให้กับต่างชาติมาเปิดบ่อนกาสิโน
นอกจากนี้ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังมีพื้นที่บ่อนกาสิโนถึง 10% ที่จะทำรายได้มหาศาลให้กับกับต่างชาติ แต่คนไทยจะติดการพนันออนไลน์มากขึ้น เป็นแหล่งฟอกเงิน เกิดอาชญากรรม วัฒนธรรมเสื่อมทราม เพราะสังคมเน้นบูชาเงินตรา แล้วหาเงินด้วยวิธีง่ายๆ อาจคิดสั้นๆ ยอมขายร่างกายเลี้ยงครอบครัวและเอาเงินไปเล่นการพนัน
ขณะที่รายได้ที่ต่างชาติจะให้ไทยยังน้อยนิด จากสัญญา 30 ปีไทยได้รายได้เพียง 3.5 หมื่นล้าน เมื่อครบสัญญายสามารถต่อได้อีกครั้งละ 10 ปี ไม่มีสิ้นสุด กลายเป็นสัญญาชั่วกัปชั่วกัลป์ไปกันลย
สิ่งสำคัญ ที่ดินการท่าเรือฯ ในปัจจุบันการท่าเรือฯ ทำรายได้เข้ารัฐตกปีละกว่า 7 พันล้าน ถ้า 30 ปีรวมแล้วมีรายได้มากกว่า 2 แสนล้าน ซึ่งมากกว่าเอาที่ดินให้ต่างชาติมาลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีบ่อนการสิโนตั้งหลายเท่าตัว
ไม่เพียงเท่านั้น นายกฯ บอกสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยมากขึ้น นักร้องดังและนักกีฬาดังๆ พร้อมเข้ามาแสดงในสนามในร่ม อย่างไรก็ตาม การอ้างการท่องเที่ยวของนายกฯ ไม่มีความจริงเลย เพราะนักร้องดังและนักฟุตบอลอาชีพต่างประเทศเคยมาแสดงในไทยอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับสถานที่เลย
“ขณะนี้ทั้งนายกฯ และ สส.เพื่อไทยโหมประชาสัมพันธ์เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ถี่ขึ้น แล้วบอกว่า ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่บ่อนกาสิโน ดังนั้น สส.ไปพูดกับใครที่ไหน บอกด้วย หรือถ่ายทอดมาให้ดูหน่อยว่าประชาชนเข้าใจ เพราะความจริงแล้วเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์คือการอ้างบังหน้าในการสร้างบ่อนกาสิโนนั่นเอง”
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมั่นใจประชาชนสนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แล้ว ควรนำร่างกฎหมายเข้าพิจารณาในสมัยประชุมวิสามัญพฤษภาคมนี้เลย อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ประชาชนที่นำมาอ้างคือกองเชียร์เพื่อไทยอยู่แล้ว