การเมืองไทยวันนี้ ยังเล่นชักเย่อ ระหว่าง “รัฐบาล” โดย พรรคเพื่อไทย กับ “ฝ่ายค้าน” โดย พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน ขณะที่รัฐบาลใหม่ที่ “ไม่มีนายกฯ ตัวจริง-มีแต่นายกฯ รักษาการ” ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา
ต้องบอกว่า ครม.ชุดนี้เป็น “ครม.ที่ไม่สมประกอบ” มี “ฟันหลอ 2 จุดสำคัญ” คือ “ไม่มีนายกฯ ตัวจริง” จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่ถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ ได้เหมือนเดิม หรือสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องหาคนใหม่มาแทน อาจจะรอถึงเดือนสิงหาคมก็จะรู้ผล
นั่นแปลว่า ประเทศไทยขาด “ผู้นำอย่างเป็นทางการ” เดือนกว่าๆ เกือบจะเรียกว่า เป็นช่วงสุญญากาศ!!
อีกจุดหนึ่งที่เป็น “ฟันหลอ” คือตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” โดยครม.ชุดใหม่ จะรอ “บิ๊กแก้ว-พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์” อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ต้องเว้นวรรค หลังพ้นตำแหน่งวุฒิสมาชิกเป็นเวลา 2 ปีเสียก่อน ตอนนี้ “พล.อ.ณัฐพล นาควานิช” รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จึงต้องทำหน้าที่แทนไปพลางๆ
ถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทำไม??? ไม่ตั้ง “พล.อ.ณัฐพล” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อทำงานต่อเนื่องทันที ทั้ง ๆ ที่ในยามนี้ ประเทศอยู่ในห้วงเวลาที่มี “ปัญหาเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดน” โดยเฉพาะชายแดนไทยกับกัมพูชา รวมถึง “ปัญหาชายแดนภาคใต้” ที่ยังรุนแรง ถือว่ามีความสำคัญมาก แต่กลับ “ปล่อยว่าง” เป็น “ฟันหลอ” เอาไว้ เพื่ออะไร
บางครั้งคนที่อยู่เบื้องหลังการจัดโผ ครม. ก็เล่นเกมการเมือง จนไม่เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองเลยจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ครม.จะเดินหน้า ก็ถือว่า ครม.ชุดนี้เป็น “ครม.ที่ไม่สมประกอบ” อาจจะเรียกว่า “รัฐบาลเป็ดง่อย” รัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งตามกฏหมาย แต่ไม่สามารถใช้อำนาจในการบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จาก “ข้อจำกัดทางการเมือง” กรณีนายกรัฐมนตรีถูกสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในเรื่อง “ความสามารถของผู้นำ” รัฐบาลชุดนี้เข้าข่ายนิยาม “เป็ดง่อย” อย่างมิอาจปฏิเสธได้
ขณะที่ใน สภาผู้แทนราษฏร การถอนตัวของ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ทำให้เสียงสนับนุนรัฐบาล “ปริ่มน้ำ” มีความเสี่ยงอย่างมากหากขอเสียงสนับสนุนในสภาฯ แค่การประชุมสภาฯนัดแรก ก็มีการประท้วงให้นับองค์ประชุมวุ่นวาย จนต้องปิดการประชุม นัดแรกรัฐบาลก็โดนทดสอบเสียแล้ว หากยังมีสภาพเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ก็จะไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าออกนโยบายสำคัญ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประเทศ เช่น การอนุมัติงบประมาณ การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง หรือการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากทุกการตัดสินใจล้วนต้องอยู่บนความชอบธรรม
อย่างไรก็ตาม หลายคนเชื่อว่า แม้ในทางพฤตินัย “แพทองธาร” ที่ไม่ได้นั่งหัวโต๊ะ แต่นั่งในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ยังจะสั่งการรัฐมนตรีได้ก็ตาม แต่ทุกวันนี้ “แพทองธาร” มีคดีความที่รัดตัว มากถึง 6 คดีและไม่รู้ว่า จะมีคดีเพิ่มหรือไม่ ส่วน “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง ที่ผ่านมาอาจจะมีเวลาเปิดบ้านให้ “ข้าราชการผู้ใหญ่” เข้าพบเพื่อหารือในการทำงาน หรือมอบนโยบายต่าง ๆ แต่จากนี้ไป ก็จะต้องเดินทางไปศาลแทบทุกวัน คงไม่มีเวลามาให้คำปรึกษาหารือ สั่งงานได้เหมือนแต่ก่อน
ขณะที่บรรยากาศของ ข้าราชการ ในตอนนี้อยู่ในสภาพปล่อย “เกียร์ว่าง” เป็นเรื่องปกติของข้าราชการทุกครั้งที่จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล มีการเลือกตั้งใหม่ หรือเวลาสถานการณ์การมืองผันผวน ข้าราชการจะปล่อยเกียร์ว่าง ดูทิศทางลมการเมือง ว่าจะไปทางไหน ตอนนี้งานทุกอย่างชะลอออกไป ไม่ตัดสินใจ นิ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะงานสำคัญที่มีความเสี่ยง ไม่มีข้าราชการคนไหนอยากจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับรัฐบาลที่มีเสถียรภาพไม่มั่นคง เพราะอาจจะมีความผิดตามไปด้วย สู้อยู่เฉย ๆ ดีกว่า โครงการสำคัญต่าง ๆ ต้องชะลอออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะทำเฉพาะงานที่เป็นงานประจำ งานเอกสาร เป็นต้น

เมื่อ “รัฐบาลเป็ดง่อย-ข้าราชการปล่อยเกียร์ว่าง” ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศ ต้องหยุดชะงักลงพร้อม ๆ กัน ภาครัฐไม่มีการลงทุน นักลงทุนเอกชนก็ไม่กล้าทำอะไรไม่ลงทุน ไม่ขยายกิจการ ตอนนี้ภาคธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่มีใครลงทุนเพิ่ม จะถือเงินสดไว้ หรือเอาไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทำให้ตัวเบาแทน จะรอจนกว่าการเมืองนิ่งเสียก่อน
ขณะที่ประชาชนในฐานะผู้บริโภค ก็ไม่มั่นใจอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอย ธุรกิจทยอยปิดตัวเป็นรายวัน นักลงทุนต่างชาติยิ่งไม่เชื่อมั่น แทนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ก็หันไปลงทุนต่างประเทศที่มีความมั่นคง มีความเชื่อมั่น ไม่มีความเสี่ยงแทน
“น่าห่วงอย่างมาก” หากการเมืองไทยยังไม่มีทางออกดีกว่านี้ ยิ่งจะมีแต่ความเสียหาย เพราะงานสำคัญรออยู่ คือ “กฏหมายงบประมาณ” ที่จะต้องเข้าสภาฯ หากรัฐบาลไม่มั่นคง เสียงสนับสนุนปริ่มน้ำ มีโอกาสที่งบประมาณไม่ผ่านสภาฯ ก็เป็นไปได้สูง
หากกฏหมายงบประมาณถูกคว่ำ รัฐบาลต้องลาออก หรือต้องยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ยิ่งยืดเวลออกไปอีกหลายเดือน
นอกจากนี้มีเรื่องสำคัญที่ท้าทายรออยู่ กรณีการเจรจาต่อรองมาตรการภาษีใหม่กับสหรัฐฯ ขณะนี้ “ทีมไทยแลนด์” ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา
ล่าสุด “พิชัย” แจ้งมาว่า “ยังไม่คืบหน้า” อีกนัยหนึ่งคือ “ไม่สำเร็จ” ดูแล้วมีแนวโน้มว่า สหรัฐฯจะเก็บภาษีไทยอัตรา 36% เช่นเดิม นั่นเท่ากับว่า ไทยอาจจะสูญเสียตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯที่มีขนาดใหญ่ถึง 18% ของGDP
มรสุมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ โหมกระหน่ำในภาวะที่รัฐบาลอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ข้าราชการ “ปล่อยเกียร์ว่าง” ประเทศไทยยามนี้น่าเป็นห่วงจริง ๆ
…………………………..
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)












