หลังจาก ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ตัดสินว่า ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย “ทำเนียบขาว” จึงไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ทันที คาดว่าในเดือนนี้ น่าจะรู้ว่า จะพิจารณาตัดสินวันไหน แต่ระหว่างที่รอ ยังสามารถเก็บภาษีตอบโต้ใหม่ตามที่ประกาศไว้ได้
หากศาลอุทธรณ์เห็นตรงกับศาลการค้าระหว่างประเทศ ทำเนียบขาวอาจยื่นศาลฎีกาต่อไป คาดว่า จะใช้เวลาอีกหลายเดือน ถ้าศาลฎีกาตัดสินว่า “ทรัมป์” ไม่มีอำนาจ “ทรัมป์” ก็ยังมีทางออก โดยสามารถกดดันทาง “รัฐสภา” ให้ออกกฎหมายอื่นๆ แทนได้ เนื่องจากมีเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา เรียกว่า “ทรัมป์” ยังมีช่องทางอื่นๆ ในการใช้อำนาจเก็บภาษีได้
หากเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้ “ประเทศคู่กรณี” กับ “สหรัฐฯ” รวมทั้ง “ไทย” ต้องเผชิญกับ “ความไม่แน่นอน” มากขึ้นเมื่อสหรัฐฯยังจะเก็บภาษีอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า ผลของการตัดสินของศาลจะออกมาแบบไหน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้นำเข้าของสหรัฐฯอาศัยช่วงที่อยู่ระหว่าง “รัฐบาลสหรัฐฯ” การเลื่อนบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ อัตรา 36% ออกไป 90 วัน โดยจะครบกำหนดวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ได้เร่งนำสินค้าเข้าไปตุนไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นการเลี่ยงภาษีที่จะประกาศใช้ จึงทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยสูงจนช่วยให้การขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 68 ขยายตัว 3.1%
แต่เมื่อทุกอย่างยังไม่มีความแน่นอน จึงน่าเป็นห่วงตั้งแต่ไตรมาส 2 ไตรมาส 3 ไปจนถึงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เป็นห้วงเวลาที่การส่งออกและเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการด้านภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” การขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 68 ทั้งปีคาดว่าแค่ระดับ 1.8 % เท่านั้น
แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า แม้การส่งออกไตรมาสแรกโตแบบพุ่งกระฉูด แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต กลับโตต่ำมาก แค่ 0.6% จึงสงสัยว่า สินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯในไตรมาสแรกที่พุ่งกระฉูดนั้น เป็นสินค้าที่ถูกต่างชาติสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปเหมือนเคยทำที่ผ่านมาหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อสินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯจะต้องโดนเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% นั่นหมายความว่า สินค้าส่งออกไทยจะไม่สามารถเข้าไปขายในตลาดสหรัฐฯได้แน่นอน เนื่องจากราคาแพงขึ้นผู้นำเข้าคงไม่นำเข้าไปจำหน่ายเพราะไม่มีกำไร
นับว่าน่าเสียดาย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้า สัดส่วน 54% ต่อจีดีพี. ยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยเกือบ 40 ปีล่าสุดปี 2567 การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 18.3% สูงกว่าหลายๆ ประเทศในอาเซียน (ยกเว้นเวียดนาม พึ่งพา 29.7%) ไทยจึงได้รับผลกระทบที่มากกว่า ถือได้ว่าสหรัฐฯมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก และไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้น
ส่วนที่บอกว่า ให้ไปหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ทดแทน พูดง่าย-แต่ทำยาก ต้องยอมรับความจริงว่า จุดอ่อนของอุตสาหกรรมไทยยังผลิตสินค้าขั้นพื้นฐานสวนทางตลาดโลกที่ต้องการสินค้าทันสมัย สินค้าพวกไฮเทค ใช้นวัตกรรม สินค้าไทยจึงแข่งขันในตลาดโลกลำบาก
อีกทั้งที่ผ่านมา การปรับตัวของอุตสาหกรรมของไทยทำได้ช้ามากๆ ทั้งที่การผลิตของภาคอุตสาหกรรมสร้างรายได้หลักของประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีสัดส่วน 28% ของจีดีพี. เลยทีเดียว
ที่สำคัญมาตรการภาษีของ “ทรัมป์” ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในภาคการส่งออกหรือภาคการผลิตเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) การผลิตที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ เป็นลูกโซ่ สะท้อนจากภาพรวมการลงทุนผลิตสินค้าเริ่มชะลอตัวลงรอดูสถานการณ์ และลดกำลังการผลิตสินค้าลงเพื่อเลี่ยงปัญหาสต๊อกเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาและอาจจะต้องหยุดผลิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมของไทยตอนนี้ เริ่มส่งสัญญาณทยอยปิดตัวลงเรื่อยๆ ล่าสุด บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยสถานการณ์โรงงานปิดตัวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในแต่ละเดือน โดยข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมพบว่า 4 เดือนแรกปีนี้ มีโรงงานปิดตัว 222 แห่ง และมีโรงงานเปิดตัว 502 แห่ง แม้ว่าอัตราการเปิดจะมากกว่าปิดตัว แต่หากดูตัวเลขในแต่ละเดือนจะเห็นการปิดตัวเพิ่มขึ้น
โดยไตรมาสแรกปีนี้ของการเปิด-ปิดโรงงาน อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจน เพราะผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ตามคำสั่งซื้อล่วงหน้า จะออกฤทธิ์จริงๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ตอนนั้นแหละของจริง
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่า เป็นการส่งสินค้าทางเรือเที่ยวสุดท้ายของสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯในอัตราภาษีเดิม 10% แต่จากนี้ไปคงจะไม่มีการส่งสินค้าออกไปสหรัฐฯอย่างแน่นอน เพราะยังไม่มีความไม่ชัดเจนว่าไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯในอัตราเท่าใด
สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่นิ่ง แต่ที่นิ่งสนิทก็เห็นจะเป็น “รัฐบาลไทย” ยังไม่รู้ว่า จะมีอะไรไปเจรจากับสหรัฐฯ หากไทยต้องตกขบวนเที่ยวนี้ เครื่องจักรส่งออกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คงอ่อนแรงลง
………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
